แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะเริ่มฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยวและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ “หนี้ครัวเรือน”ยังเป็นเงาที่ยาวที่สุดเหนือเศรษฐกิจไทย อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย โดยปัจจุบันอยู่ราว 87% ของ GDP แม้จะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ก็ยังสูงเกินเกณฑ์ความยั่งยืนที่ธนาคารกลางหลายประเทศใช้เป็นแนววัด
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่“โครงสร้างของหนี้” และ “ความสามารถในการชำระหนี้”ของประชาชนส่วนใหญ่ หนี้เพื่อการบริโภคระยะสั้น เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้เช่าซื้อ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกลุ่มรายได้กลางถึงล่าง ในขณะที่รายได้จริงของครัวเรือนกลับฟื้นตัวช้ากว่าค่าครองชีพการใช้จ่ายที่มากกว่ารายได้จึงกลายเป็นเรื่องปกติในหลายครอบครัว
ภาพใหญ่ : ตัวเลขดูดีขึ้น แต่ครัวเรือนยังตึงมือ
แม้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะปรับลดลงเล็กน้อย แต่สำหรับคนทั่วไป “ความรู้สึกตึงมือ” ยังคงอยู่รายได้ที่แท้จริงของแรงงานยังไม่เพิ่มขึ้นมากนักขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าน้ำมัน-ค่าครองชีพทั่วไปเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ครัวเรือนต้องพึ่งพาหนี้ระยะสั้นเพื่อพยุงสภาพคล่อง
ภาครัฐจึงเริ่มขยับมาตรการจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย โครงการไถ่ถอนหนี้เสีย และการตั้งศูนย์ปรึกษาทางการเงินเพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น แรงงานอิสระและ SME ขนาดเล็กแต่หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “พักหนี้” แต่อยู่ที่ “สร้างรายได้และวินัยทางการเงิน”เพื่อไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรเดิม
ความเสี่ยงเชิงระบบ : หนี้ไม่มีหลักประกัน-รายได้ไม่เพิ่ม-เงินออมไม่มี
โครงสร้างหนี้ไทยมีสัดส่วนหนี้ไม่มีหลักประกันสูงเช่น สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิต ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของพอร์ตสินเชื่อภาคครัวเรือน หนี้ประเภทนี้มีดอกเบี้ยสูงและเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ หากรายได้สะดุดเพียงระยะสั้นก็อาจกลายเป็นหนี้เสียได้ทันที ขณะเดียวกัน การออมของครัวเรือนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
โดยเฉลี่ยคนไทยมีเงินออมฉุกเฉินเพียง 1–2 เดือนของรายจ่าย ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานสากลที่แนะนำให้มีอย่างน้อย 3–6 เดือน เมื่อต้องเจอกับเหตุไม่คาดฝัน เช่น ค่ารักษาพยาบาลหรือการตกงานหลายครัวเรือน จึงต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อความอยู่รอด
ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะระดับบุคคล แต่ลุกลามสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะหนี้สูงหมายถึงกำลังซื้อต่ำ การลงทุนของภาคเอกชนก็ชะลอ ขณะที่สถาบันการเงินต้องเผื่อกันสำรองเพิ่มซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้นอีก กลายเป็นวงจรที่กัดกินศักยภาพการเติบโตระยะยาวของประเทศ
ทางออก : ลดหนี้อย่างมีวินัยและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
1. คุมการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็น ภาครัฐควรเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อไม่มีหลักประกันและการโฆษณาเชิงรุกของผู้ให้กู้รายย่อย พร้อมส่งเสริมระบบการให้คำปรึกษาก่อนกู้ เพื่อให้ลูกหนี้เข้าใจภาระดอกเบี้ยและผลกระทบต่อเครดิต อย่างแท้จริง
2. ปรับโครงสร้างหนี้ให้เป็นธรรมและโปร่งใส ต้องเร่งกลไกกลางที่ช่วยลูกหนี้เจรจากับเจ้าหนี้โดยมีกรอบเวลาแน่นอน ลดดอกเบี้ยชั่วคราวและขยายระยะเวลาผ่อน โดยไม่สร้างภาระใหม่ ในขณะเดียวกันลูกหนี้ต้องยอมรับเงื่อนไขวินัยการเงิน เช่น ไม่ก่อหนี้เพิ่มระหว่างการฟื้นฟู
3. เพิ่มรายได้และสร้างกันชนการออม หนี้จะไม่ลดลงอย่างแท้จริงหากรายได้ไม่เพิ่ม ภาครัฐและเอกชนจึงต้องลงทุนในโครงการพัฒนาทักษะแรงงาน การจ้างงานคุณภาพ และระบบออมบังคับในที่ทำงานเช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้คนมีเงินสำรองยามฉุกเฉินและเกษียณ
4.เพิ่มภูมิคุ้มกันทางการเงินด้วยความรู้ “Financial Literacy” ควรถูกบูรณาการในหลักสูตรการศึกษา และขยายไปยังแรงงานทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือประกอบอาชีพอิสระเพราะความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย เครดิตบูโร และการวางแผนการเงินคือเครื่องมือป้องกันหนี้ที่ดีที่สุด
หนี้ไม่ใช่ศัตรู หากรู้จักบริหาร
หนี้ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายโดยตัวมันเอง เพราะหนี้ช่วยให้คนเข้าถึงโอกาสในการซื้อบ้าน ทำธุรกิจ หรือการศึกษา แต่เมื่อขาดวินัยและความรู้ หนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกินอนาคต ประเทศไทยจึงต้องมองปัญหานี้ทั้งในมิติรายบุคคลและเชิงโครงสร้าง
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี