ที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... (หรือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ) ในวาระ 2-3 โดยมีจำนวนผู้ลงมติ 148 เสียง
เห็นด้วย 144 เสียง
ไม่เห็นด้วย 1 เสียง
งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง
นอกจากนี้ วุฒิสภายังเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ
หลังจากนั้น เข้าสู่ขั้นตอนนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
1. ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ ผลักดันมาในยุครัฐบาลเพื่อไทย ช่วงที่พรรคภูมิใจไทยยังร่วมรัฐบาลด้วย
และ สส.ฝ่ายค้าน ก็สนับสนุนด้วย
มาถึงวุฒิสภา สว.ก็สนับสนุนด้วยดี
ในที่สุด จึงจ่อรอจะเป็นกฎหมายใช้บังคับ เปิดทางให้มีเครื่องมือบริหารจัดการระบบตั๋วการเดินทางรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ให้ประชาชนได้ใช้บริการอย่างสะดวก มีประสิทธิภาพ ในราคาถูกลง
2. ตามกฎหมายตั๋วร่วม จะทำให้มีกลไกการบริหาร การกำหนดอัตราโดยสารร่วม จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม กำหนดผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดียวเดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ
3. พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ เป็น 1 ใน 3 กฎหมายหลักที่จะขับเคลื่อนระบบตั๋วโดยสารร่วม เพื่อให้การเดินทางเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อสำหรับผู้โดยสาร ตั๋วใบเดียวใช้ได้จริงๆ
กฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ร.บ. การขนส่งทางราง
และ พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
จึงเป็นอันว่า ทั้ง 3 ฉบับ ผ่านความเห็นชอบที่ประชุมวุฒิสภาเสร็จสิ้นหมดแล้ว
4. ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง คือ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุม ดูแล และส่งเสริมการขนส่งทางราง ดูแลมาตรฐานความปลอดภัย
ร่าง พ.ร.บ. รฟม. คือ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อเปิดทางให้มีการบริหารจัดการ การลงทุน และการกำกับดูแลระบบรถไฟฟ้าทำให้มีช่องทางในการหารายได้ในรูปแบบอื่นๆ ได้เพิ่ม และให้ รฟม. สามารถนำเงินรายได้ มาสนับสนุนการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมในบริการขนส่งสาธาธารณะที่เกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟฟ้า ผ่านกองทุนตั๋วร่วมได้
และ ร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม คือ ตัวสำคัญที่ร้อยเอาค่าโดยสารรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง และเรือ ให้สามารถใช้ตั๋วร่วมกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้โดยสาร
สามารถใช้บัตรโดยสารใบเดียว เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบจริงๆ
5. จากนี้ รัฐบาลจะทำโครงการรถไฟฟ้าราคาเท่าใด ก็จะมีเครื่องมือบริหารจัดการได้จริงๆ
ไม่ใช่แค่คำหาเสียงขายฝันอีกต่อไป
สำคัญกว่านั้น จะสามารถเชื่อการเดินทางทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์เรือ เข้าระบบตั๋วร่วม เพื่อความสะดวกของประชาชนได้ด้วย
พูดง่ายๆ ว่า ไม่ใช่นโยบายรถไฟฟ้าราคาเท่าใด แต่จะมีมาตรการรถไฟฟ้า+รถเมล์+เรือ ราคาเท่าใด ? ก็มีเครื่องมือบริหารจัดการแล้ว
ประการสำคัญ จะต้องคำนึงถึงพื้นฐานต้นทุนจริงด้วยอยู่ดีมิฉะนั้น ก็ต้องเอาเงินหลวงเข้าไปโอบอุ้มมากเกินสมควร ก็เป็นประชานิยมที่ไร้ประสิทธิภาพอยู่เหมือนเดิม
6. สิ่งที่รัฐบาลจะต้องพิจารณา หลังจากนี้ อาทิ
รัฐจะชดเชยเอกชนผู้รับสัมปทานอย่างไร? ใช้งบเท่าไหร่? หากในอนาคตมีการปรับขึ้นค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานเดิม การคำนวณเงินชดเชยของรัฐจะต้องปรับตามหรือไม่?
ค่าโดยสารร่วม จะเป็นราคาเท่าไหร่ จึงจะพอดี
จะชดเชยมากน้อยเท่าใด จึงจะพอดี
คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดหวังประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งราคาถูกลงและความสะดวกสบายมากขึ้น
นักการเมืองไม่ควรให้แค่ “ขนมหวาน” คือ กำหนดราคาถูกๆ หาเสียงระยะสั้น
แต่ระบบไม่ยั่งยืน
รัฐบาลควรสร้างระบบที่ยั่งยืน ราคาเป็นธรรม และเข้าถึงได้จริง
ตั๋วร่วม ต้องครอบคลุมทั้งรถโดยสาร (รถเมล์) รถไฟฟ้า เรือ ฯลฯ
สามารถใช้แค่บัตรใบเดียวจริงๆ
จะนั่งรถเมล์ ต่อบีทีเอส ต่อเอ็มอาร์ที ลงเรือ ฯลฯ
สภาผู้บริโภคเคยยกตัวอย่างไว้ ระบุว่า
“ทุกวันนี้ ถ้าเราจะเดินทางจากดอนเมืองไปบางนา โดยใช้รถไฟฟ้า ต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงจากสถานีดอนเมืองไปลงบางซื่อ (7 สถานี20 บาท) ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหรือเอ็มอาร์ทีจากสถานีบางซื่อไปลงสุขุมวิท (11 สถานี 42 บาท) แล้วยังต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือบีทีเอส จากสถานีอโศกไปบางนา (10 สถานี 50 บาท) รวมต้องใช้เงิน112 บาทต่อ 1 เที่ยว
ถ้ามีนโยบายตั๋วร่วม เราจะได้ใช้ขนส่งสาธารณะในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม!
หมายถึง ถ้าเราจะจ่ายค่าเดินทางจากดอนเมืองไปบางนาโดยคำนวณจากจำนวนสถานี ซึ่งจะทำให้เกิด “ค่าโดยสารร่วม”
คือ ทุกเจ้าใช้ตารางราคาและวิธีคำนวณค่าโดยสารเหมือนกัน
และรัฐบาลก็สามารถกำหนดค่าโดยสารสูงสุดของขนส่งแต่ละประเภทได้ เช่น
สมมุติว่า รัฐกำหนดให้ค่ารถไฟฟ้าทุกสีทุกสายรวมกัน ต้องไม่เกิน 40 บาทใน 1 เที่ยวการเดินทาง
นั่นแปลว่าไม่ว่าเราจะต้องขึ้นลงรถไฟฟ้าสักกี่สายเพื่อให้ไปถึงจุดหมาย เราก็จะเสียเงินไม่เกิน 40 บาท
ทั้งนี้ หากมีการพัฒนาระบบตั๋วร่วมต่อไปเรื่อยๆ อาจกำหนดให้มีส่วนลดสำหรับการใช้ระบบขนส่งสาธารณะหลายระบบเชื่อมต่อกันเช่น ขึ้นรถไฟฟ้าไปต่อรถเมล์ จะได้ขึ้นรถเมล์ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม เป็นต้น..”
7. ตัวอย่างประเทศที่มีระบบตั๋วร่วม
เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เป็นต้น
บางประเทศ ใช้ร่วมไปถึงการขึ้นแท็กซี่ ซื้อของในมินิมาร์ทต่างๆ
ในสิงคโปร์ มีระบบตั๋วร่วมที่เรียกว่า อีซี่ ลิงก์ (EZ LINK)สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT รถเมล์ หรือแท็กซี่ก็ได้ และยังสามารถใช้ซื้อสินค้าตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งจะได้ส่วนลดเมื่อจ่ายผ่านบัตรอีซี่ ลิงก์
ในไต้หวัน มีระบบตั๋วร่วมหลายระบบ สามารถใช้จ่ายค่าเดินทางขนส่งสาธารณะได้ ทั้งรถไฟทุกสาย รถบัส ทั้งยังสามารถใช้ซื้อของจากร้านสะดวกซื้อ รวมถึงการใช้จ่ายอื่นๆ เช่น เติมน้ำมัน ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหารและเครื่องดื่ม
ในออสเตรเลีย ตั๋วร่วมครอบคลุมรถบัส รถราง รถไฟไปจนถึงการโดยสารทางเรือ และมีราคาพิเศษลดค่าโดยสาร 50%สำหรับนักเรียนนักศึกษา เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความต้องการพิเศษด้วย
รอดูว่า ในประเทศไทย จะออกมาในรูปใด หลังจากนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี