วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ข่าวฉาวในวงการสงฆ์ทยอยปรากฏบนหน้าสื่อราวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เรื่องเงินวัดหาย พระเอี่ยวสีกา ไปจนถึงเจ้าอาวาสวัดดังถูกสอบทุจริต คำถามที่สังคมเริ่มตั้งจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ “พระทำผิดหรือไม่?” หากแต่ลึกลงไปถึง “วัดควรถูกบริหารอย่างไร?” และ “ใครควรรับผิดชอบเมื่อความศรัทธาถูกบั่นทอน?” เพราะ “วัด” มิใช่เพียงสถานที่ปฏิบัติธรรม
แต่คือองค์กรสาธารณะที่เกี่ยวพันกับเงินทอง การบริจาค และทรัพย์สินมหาศาลของญาติโยมทั่วประเทศ การสั่นสะเทือนศรัทธาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สังคมไทยอาจละเลยมานาน นั่นคือ “การขาดธรรมาภิบาล” ในองค์กรศาสนา
ในความเชื่อของชาวพุทธ วัดเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ของศรัทธา เป็นที่พำนักของธรรมะ แต่ในความเป็นจริง วัดคือองค์กรที่ถือครองที่ดินและทรัพย์สินจำนวนมาก มีเงินหมุนเวียนจากการบริจาคของญาติโยมแทบทุกวัน และมีการใช้จ่ายเพื่อบำรุงศาสนกิจในรูปแบบต่างๆ หากมองในเชิงโครงสร้าง วัดจึงไม่ต่างจากองค์กรสาธารณะรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีระบบตรวจสอบอย่างเป็นทางการเหมือนหน่วยงานอื่น คำถามคือ เหตุใดองค์กรสาธารณะอื่นๆ จึงต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งที่มีงบประมาณน้อยกว่าวัดบางแห่งหลายเท่า ในขณะที่วัดกลับดำเนินกิจการได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลใดๆ ต่อสาธารณะ คำตอบส่วนหนึ่งอาจอยู่ที่ความเข้าใจผิดของสังคมไทยที่เชื่อว่า “การตรวจสอบคือการลบหลู่”ทั้งที่ในความเป็นจริง การไม่ตรวจสอบต่างหากคือการทำร้ายศาสนาอย่างเงียบเชียบ เพราะเมื่อศาสนาไม่มีระบบป้องกันตัวเอง ความศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของอำนาจเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อพิจารณาในประเด็นเรื่องการบริหารจัดการของวัด ในทางพระวินัย พระภิกษุไม่สามารถจับเงินได้โดยตรง เงินทุกบาทที่ชาวบ้านบริจาคจึงต้องผ่านมือฆราวาสผู้ดูแลที่เรียกว่า “ไวยาวัจกร” ตำแหน่งที่มักไม่ปรากฏต่อสาธารณะ แต่กลับมีอำนาจจริงในการบริหารทรัพย์สินของวัด บุคคลนี้จึงเปรียบเหมือนผู้ถือกุญแจคลังศรัทธา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเปราะบางที่สุดในระบบ เพราะหากไม่มีการตรวจสอบที่รัดกุม ไวยาวัจกรสามารถแตะต้องเงินทุกบาททุกสตางค์ได้โดยแทบไม่มีใครรู้ เหตุนี้เองที่ทำให้หลายคดีการทุจริตในวัด ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของพระเพียงฝ่ายเดียว หากแต่เกิดจากโครงสร้างการบริหารที่ขาดมาตรฐาน ไม่มีระบบถ่วงดุล ไม่มีคณะกรรมการร่วมตัดสินใจ และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ โครงสร้างการบริหารจัดการของวัดยังขาดระบบกำกับอย่างแท้จริง วัดส่วนใหญ่ไม่มีคณะกรรมการบริหารที่ทำหน้าที่ตัดสินใจแบบหมู่คณะ เจ้าอาวาสมักต้องแบกรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง ขณะที่ไวยาวัจกรมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินโดยแทบไม่มีการถ่วงดุลกันเอง หลายวัดไม่มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ดูแลทรัพย์สิน ไม่มีระบบวาระ ไม่มีการประเมินผลงาน หรือกำหนดคุณสมบัติทางจริยธรรมที่ชัดเจน การรับบริจาคและการใช้เงินก็อาศัยความเชื่อใจเป็นหลักมากกว่ากฎระเบียบลายลักษณ์อักษร รายงานทางการเงินหากมี ก็มักไม่เป็นมาตรฐาน วัดบางแห่งไม่มีบุคลากรที่มีความรู้ด้านบัญชี บางแห่งไม่มีระบบอนุมัติการเบิกจ่ายที่ตรวจสอบได้ เมื่อไม่มีเอกสาร และไม่มีการเปิดเผยข้อมูล วัดจำนวนไม่น้อยจึงดำเนินกิจการในลักษณะ “บริหารด้วยศรัทธา” มากกว่า “บริหารด้วยระบบ” และเมื่อศรัทธาไม่มีกลไกค้ำจุน มันก็กลายเป็นประตูเปิดให้ความไม่โปร่งใสเล็ดลอดเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนา “ธรรมาภิบาลวัด” ขึ้นมา เพื่อให้ศาสนสถานดำรงอยู่บนหลักความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีความรับผิดชอบต่อผู้ศรัทธา แนวทางนี้ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนวัดให้กลายเป็นหน่วยงานราชการหรือองค์กรธุรกิจ หากคือการวางระบบพื้นฐานที่ช่วยให้วัดทำหน้าที่ของตนได้อย่างบริสุทธิ์และมั่นคง โดยอาจเริ่มต้นจากการตั้ง “คณะกรรมการวัด” ซึ่งมีทั้งพระและฆราวาสเข้ามาร่วมตัดสินใจแบบหมู่คณะ เพื่อให้ทุกการดำเนินงานของวัดผ่านกระบวนการระดมความเห็นและพิจารณาอย่างรอบคอบ
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งของฆราวาสผู้ดูแลทรัพย์สินหรือไวยาวัจกรจำเป็นต้องได้รับการกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน ต้องผ่านการเสนอชื่อจากชุมชนหรือคณะศรัทธา มีกรอบจริยธรรม คุณธรรม และเจตนารมณ์ในการรักษาผลประโยชน์ของวัดเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน พร้อมกันนั้น ควรมีระบบประเมินผลงานที่โปร่งใส และกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจในระยะยาว
อีกส่วนสำคัญคือการเสริมสร้างความรู้ให้ผู้บริหารวัดทุกฝ่าย ทั้งพระสงฆ์ ไวยาวัจกร และคณะกรรมการวัด ควรได้รับการอบรมด้านพระธรรมวินัย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สิน ตลอดจนความรู้ด้านบัญชีและธรรมาภิบาลเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมืออาชีพและรับผิดชอบต่อศรัทธาของประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงควรมี “ระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษร” เพื่อใช้เป็นเข็มทิศในการทำงาน เช่น นโยบายการรับบริจาคและการใช้เงินให้เป็นไปตามเจตจำนงของผู้บริจาค รวมถึงแนวทางป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน การมีระเบียบที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้ทั้งพระและญาติโยมเข้าใจตรงกัน และร่วมกันกำกับดูแลได้โดยไม่ต้องอาศัยความไว้ใจเพียงอย่างเดียว
ด้านการเงิน วัดควรวางระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานมีขั้นตอนการเบิกจ่ายและอนุมัติที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีบุคลากรที่มีทักษะเพียงพอในการจัดทำรายงานทางการเงินอย่างถูกต้อง พร้อมแต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในที่รายงานตรงต่อเจ้าอาวาสหรือคณะกรรมการ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรัดกุม และในกรณีวัดขนาดใหญ่ ก็ควรมีผู้สอบบัญชีภายนอกเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อให้รายงานทางการเงินสมบูรณ์ตามมาตรฐานและสุดท้าย สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเปิดเผยข้อมูลของวัดต่อสาธารณะ ทั้งข้อมูลทางการเงินและข้อมูลอื่น เช่น นโยบาย ระเบียบ หรือการตัดสินใจสำคัญของเจ้าอาวาส การเปิดเผยเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการให้เกียรติผู้ศรัทธา แต่ยังสะท้อนความกล้าและความซื่อสัตย์ของวัดในการยืนอยู่บนฐานความโปร่งใส
เมื่อวัดมีระบบที่เปิดเผยได้ ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย วัดก็จะกลับมาเป็นพื้นที่ศรัทธาที่มั่นคงอีกครั้ง เพราะศรัทธาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม แต่อยู่ที่การเปิดให้ทุกคนเห็นความจริงอย่างตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้!
ประเด็นเรื่อง “ธรรมาภิบาลวัด” ยังมีอีกหลากหลายแง่มุมให้พูดถึงและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากสนใจว่าศาสนาและความโปร่งใสจะเดินไปด้วยกันได้อย่างไร หรืออยากเรียนรู้ประเด็นคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลในมิติอื่นๆของสังคมไทย สามารถติดตามงานศึกษาและบทความวิเคราะห์ได้ที่เพจ KRAC Corruption หรือเว็บไซต์ https://kraccorruption.com/ แหล่งรวบรวมความรู้ในประเด็นเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันและส่งเสริมธรรมาภิบาลอย่างรอบด้าน
ธนากาญจน์ กันทอง

สลด! ลิงกังกัด ชายวัย 63 เสียชีวิตคาบ้าน พบมือยังถือเหล็กยาว มีบาดแผลบริเวณขาซ้าย
ดราม่าสนั่นเครื่องเล่น Skyflyers เสียงกรี๊ดดังโหยหวนยันดึก ชาวชุมชนรอบเอเชียทีคสุดจะทน
เปิดวินาทีไทยแสดงหลักฐาน ทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด กลางที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา
วันนี้ในอดีต! รำลึก 27 ปี ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 มิตรภาพไร้พรหมแดน
เตรียมออกหมายเรียก เวย์ ไทเทเนียม รับทราบข้อกล่าวหา ฉ้อโกงทรัพย์ สัปดาห์หน้า

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี