ผ่านพ้นไปแล้วกับอีกหนึ่งวันสำคัญ(อังคารที่ 3 มีนาคม 2563) ของการเลือกตั้งขั้นต้นที่เรียกกันว่า “ซูเปอร์ทิวส์เดย์” (Super Tuesday) ซึ่งเป็นการเลือกตั้งขั้นต้นที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 14 รัฐ และ 2 เขตเลือกตั้ง โดยมีจำนวนตัวแทน (Delegate) มากถึง 1,338 คน โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นสามารถอ่านได้ที่ https://www.naewna.com/lady/columnist/43046 (บทความ : เดโมแครต ลั่นกลองรบ)
แน่นอนทั่วโลกต่างให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต (Democratic Party) เป็นสำคัญ เพราะ “ตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด” จะเป็น “ผู้นำ” ของพรรคเดโมแครตในการชิงความนิยมของอเมริกันชนจากประธานาธิบดีคนปัจจุบัน “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งพรรคริพับลิกัน (Republican Party) ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โจ ไบเดน (Joe Biden) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็สามารถสร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิเคราะห์การเมืองที่ติดตามการเลือกตั้งขั้นต้นเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถเอาชนะไปได้ถึง 10 รัฐด้วยกัน ทั้งๆ ที่ในการเลือกตั้งขั้นต้นในรัฐก่อนหน้านี้ เขาทำได้ไม่ดีนักโดยเฉพาะในรัฐสำคัญๆ อย่าง ไอโอวา และนิวแฮมเชียร์ ที่ความนิยมของเขาตกลงไปอยู่ที่อันดับ 4 และมีจำนวนตัวแทนเพียง 6 คนเท่านั้น ในขณะที่คู่แข่งอย่าง “เบอร์นี่ แซนเดอร์”ได้ตัวแทนไปถึง 21 คน ตามมาด้วย“พีท บูติเจิจ” ซึ่งได้ไป 23 คนด้วยกัน
หลังการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐเนวาดาจำนวนตัวแทนของ “โจ ไบเดน” ตามหลัง “เบอร์นี่ แซนเดอร์” อยู่ 54 ต่อ 60 คน แต่อะไรกันที่ทำให้เขากลับมานำได้ในช่วงซูเปอร์ทิวส์เดย์” คำตอบก็คือ การสนับสนุนจากคนผิวสี และกลุ่มอำนาจเก่า (Establishment) แต่ที่มีอิทธิพลอย่างมากก็น่าจะเป็นการประกาศถอนตัวของ “พีท บูติเจิจ” ที่ว่ากันว่าเป็นม้ามืดในการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งนี้ และเป็นตัวเลือกที่มีการมองว่ามีกลุ่มผู้สนับสนุนซ้อนทับกันอยู่กับโจ ไบเดนจึงเป็นการตัดคะแนนกันเอง ดังนั้น พีท บูติเจิจจึงขอถอนตัวออกมาก่อนจะมีซูเปอร์ทิวส์เดย์เกิดขึ้นเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น และแน่นอนว่า เขาออกตัวสนับสนุนโจ ไบเดนทันที
“พีท บูติเจิจ” บอกว่า “ความที่การหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้สมัครประธานาธิบดีเข้าใกล้ตอนจบแล้ว และผมได้ทำการตัดสินใจที่ยากในการยุติการรณรงค์หาเสียงสำหรับประธานาธิบดี แต่เพราะเชื่อว่าหากคำนวณดู มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และผมเองก็มีความเป็นห่วงต่อผลกระทบในการหยั่งเสียงหากอยู่ต่อ และทำให้พรรคเดโมแครตจะต้องมีตัวผู้สมัครที่ไม่ใช่ ในการไปสู้กับทรัมป์”
สำหรับพีท บูติเจจ นั้น เขาค่อนข้างชัดตั้งแต่ต้นแล้วว่า แนวคิดของเขานั้นแตกต่างกันกับเบอร์นี่ แซนเดอร์ เพราะในการดีเบต (Debate) ที่ผ่านมา เขาได้วิพากษ์ เบอร์นี่ แซนเดอร์ อย่างตรงไปตรงมาว่า “เราต้องการความเป็นผู้นำที่ช่วยรักษาเยียวยาประเทศที่มีการแบ่งแยก ไม่ใช่ทำให้เรายิ่งแยกห่างออกจากกันเข้าไปอีก เราจำเป็นต้องมีเป้าหมายที่กว้างเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับชาวอเมริกัน ไม่ใช่คนที่หลงอยู่แต่กับอุดมการณ์ เราต้องมีแนวปฏิบัติที่เข้มแข็งพอ ไม่ใช่เพียงเพื่อการเอาชนะทำเนียบขาว แต่ต้องรักษาสภาผู้แทนราษฎร เอาชนะวุฒิสภา และทำให้ Mitch McConnell เกษียณ (สว.พรรคริพับลิกัน)”
อย่างไรก็ต้องยอมรับกันว่า หากพีท บูติเจิจ และผู้สมัครท่านอื่นๆ ไม่ถอนตัวจากการเลือกตั้งขั้นต้นก่อนซูเปอร์ทิวส์เดย์ความนิยมของ “โจ ไบเดน” ก็อาจจะไม่ผงาดเหมือนเช่นตอนนี้ เพราะแต้มตัวแทนของ “เบอร์นี่ แซนเดอร์” ที่สะสมมาก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างเยอะพอสมควร โดยถึงตอนนี้ไบเดนมีตัวแทนอยู่ที่ 672 คน ส่วน แซนเดอร์ตามมาที่ 551 คน
กระนั้นหลังจากซูเปอร์ทิวส์เดย์สิ้นสุดลง ผู้สมัครอีก 2 คนก็ตัดสินใจถอนตัวนั่นก็คือ มหาเศรษฐีหมื่นล้าน อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ที่ได้รับตัวแทนไปถึง 60 คน จากการใช้เงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการอัดฉีดแคมเปญเลือกตั้งของเขา และแน่นอนว่า ไมค์ประกาศสนับสนุนไบเดน เพราะเชื่อว่าเขาคือคนเดียวที่จะไปต่อกรกับทรัมป์ได้ “ผมเชื่อมั่นในตัวของโจ ไบเดนเขาจะเป็นคนที่สามารถเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ และโจ ไบเดน จำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากตัวแทนของพรรคให้ได้มากที่สุด”
ต่างจาก “อลิซาเบธ วอร์เรน” (Elizabeth Warren) สมาชิกวุฒิสภา อดีตอาจารย์ด้านกฎหมายที่ประกาศสู้กับปัญหาการทุจริต และแก้กติกาด้านเศรษฐกิจ ที่แม้จะถอนตัวจากการเป็นผู้สมัคร แต่ก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนใครทั้งสิ้น โดยเธอให้เหตุผลว่า “หายใจลึกๆ และใช้เวลากับมัน เรายังไม่ต้องตัดสินใจในทันที และต้องการใช้เวลาคิดมากกว่านี้ และฉันไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่า ในการหยั่งเสียงครั้งนี้สุดท้ายแล้วจะมีเพียงสองเส้นทางคือเบอร์นี่ แซนเดอร์ และโจ ไบเดนเท่านั้น ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ชัดเจนว่าฉันเข้าใจผิด” แต่หลายคนก็เชื่อว่า กลุ่มที่ให้การสนับสนุนอลิซาเบธ วอร์เรน จะหันไปให้การสนับสนุน “เบอร์นี่ย์ แซนเดอร์” แทน เนื่องด้วยความคล้ายคลึงกันของนโยบายที่จะไม่หนุนบริษัทขนาดใหญ่ การเรียกร้องให้คนรวยเสียภาษีมากขึ้น การรักษาพยาบาลสำหรับทุกคน การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือปัญหาหนี้สินของนักเรียน
มองย้อนกลับไปที่ในช่วงของการเริ่มต้นการเลือกตั้งขั้นต้น เราจะทราบว่าผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตนั้นมีตัวเลือกอยู่มากมายตามความชอบและรสนิยมทางการเมืองของแต่ละคนหากคุณชอบแนวคิดการออมเงินเพื่อซื้อรถเทสล่า (Tesla) ก็สามารถเลือก “แอนดริว ยัง”(Andrew Yang) เป็นต้น
แต่ในขณะนี้ ช่วงเวลาที่เหลือเพียงตัวเลือกผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตแค่สองคนเท่านั้น ก็คงมีรูปแบบในการตัดสินใจได้ไม่มากนัก อาทิ ชอบวิธีแบบไหนในการรับมือกับโดนัลด์ ทรัมป์ หรือแนวทางการทำงานแบบไหนที่สามารถทำให้นโยบายสามารถเกิดขึ้นได้จริง รวมไปถึงอุดมการณ์ในแบบทางสายกลางของโจ ไบเดน หรืออนุรักษ์นิยม (ซีกขวา) แบบ เบอร์นี่ แซนเดอร์ซึ่งก็คงจะอยู่ที่ชาวเดโมแครตอีกหลายล้านคนจะต้องตัดสินใจด้วยสิทธิของการหยั่งเสียงที่จะเกิดขึ้นครั้งต่อไปแล้ว
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุด “เบอร์นี่ แซนเดอร์” ก็ได้หยิบยกตัวเลขจากโพลออกมาประกาศว่า ตัวเขานั้นสามารถที่จะเอาชนะทรัมป์ได้ เพื่อสยบวลีตลอดการหาเสียงของ “โจ ไบเดน” ที่ว่า เขาจะเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งก็หักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างสนุกสนานในสายตาของบรรดากองเชียร์ ต่างจากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่ง “ฮิลลารี คลินตัน” (Hillary Clinton) นำคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น
ปลายทางของการแข่งขันในการเลือกตั้งขั้นต้นนี้ ผู้สมัครจะต้องมีผู้แทน 1,991 คน ซึ่งทั้งคู่ยังต้องแข่งกันไปอีก 33 รัฐต่อจากนี้จนไปถึงวันประชุมใหญ่ Democratic National Convention ซึ่งผู้แทนต่างๆ ในแต่ละรัฐจะมาลงคะแนน(ระหว่างวันที่ 13-16 กรกฎาคม 2563)เมื่อถึงตรงนั้นเราก็จะทราบคำตอบที่ว่า ใครจะเป็นตัวแทนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปจากพรรคเดโมแครต ที่สำคัญต่อจากนั้นก็คือ คนที่จะเป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครตคนต่อไปนั้น จะสามารถเรียกเสียงสนับสนุนจากเสียงของอีกฝ่ายในการเลือกตั้งขั้นต้นให้มาหนุนตัวเองในการเลือกตั้งใหญ่ได้หรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นงานยากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น “โจ ไบเดน” หรือ “เบอร์นี่ แซนเดอร์” ก็ตาม
แน่นอนว่า “การเลือกตั้งขั้นต้น”เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน แต่จะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งขั้นต้นนั้นมีความซับซ้อน ยากลำบาก และใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของไทยเอง (2560) ก็ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งขั้นต้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสื่อสารทำความเข้าใจต่อประชาชน รวมไปถึงการสร้างกฎกติกาที่ชัดเจน และเป็นธรรม มิเช่นนั้นแล้ว อาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มนายทุนในการเลือกตัวผู้สมัคร และอาจเกิดการซื้อเสียงสมาชิกเพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการได้ แต่ที่สำคัญก็คือ ประชาชนจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ตรงนี้คือสิ่งที่ต้องคิดให้หนัก เพราะการหยั่งเสียงในบ้านเรากำหนดไว้เพียงให้สมาชิกที่ต้องเสียค่าสมาชิกเท่านั้น ท่ามกลางปัญหาของพรรคการเมืองในปัจจุบันที่แค่หาสมาชิกก็ทำได้ยากเต็มทีแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี