มูลนิธิสิทธิเด็ก (KidsRights Foundation) ได้เปิดเผย รายงานว่าด้วยสิทธิเด็กประจำปี พ.ศ. 2563 (Kids Right Index 2020) ที่บอกกับเราว่า รัฐบาลทั่วโลกยังจัดสรรงบประมาณได้อย่างไม่เพียงพอต่อสิทธิที่เด็กควรจะได้รับ และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังรับมือกันอย่างเข้มข้น ทำให้ประเมินได้ว่า สถานการณ์ในด้านสิทธิเด็กคงไม่น่าจะได้รับการยกระดับให้ดีขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากรัฐบาลพุ่งเป้าหมายในการบริหารจัดการรวมไปถึงงบประมาณทั้งหมดตรงไปที่เรื่องของสาธารณสุข และการเยียวยาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ความเป็นอยู่ของเด็กทั่วโลกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ เรื่องการศึกษา การพัฒนาทั้งกระบวนการเรียนรู้และพฤติกรรม ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการป้องกันการกระทำความรุนแรงและการละเมิด
กล่าวคือ การเลื่อนการเปิดเทอมจากมาตรการการเว้นระยะทางกายภาพ (Physical Distancing) และความปลอดภัยด้านสาธารณสุข มีผลกระทบกับเด็กกว่า 1.5 พันล้านคนทั่วโลก ปัญหาทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศส่งผลให้เด็กเข้าสู่การเป็นแรงงานเถื่อนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ความหละหลวมทางสังคมก่อให้มีการแต่งงานในวัยเด็ก และการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอัตราสูง รวมไปถึงประเด็นการฉีดวัคซีนที่อาจส่งผลให้เกิดโอกาสในการเสียชีวิตของทารกที่ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจากผู้ที่เกี่ยวข้อง นี่คือสิทธิเด็กที่ถูกรัฐบาลทั่วโลกละเลย
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจไม่กระทบต่อเด็กโดยตรง แต่มีผลเป็นอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก โดยองค์การสหประชาชาติคาดว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เด็กเสี่ยงตกอยู่ในภาวะยากจนเพิ่มมากถึง 42-66 ล้านคน และการขาดความใส่ใจต่อปัญหาของเด็ก ต่อสิทธิของเด็ก จะส่งผลอย่างต่อเนื่องไปในอนาคต และเป็นปัญหาชนิดเดิมๆ ที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลายร้อยเท่าในเด็กรุ่นต่อๆไป
ในรายงานว่าด้วยสิทธิเด็กชิ้นนี้ ยังได้ระบุอีกว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ส่งผลให้คุณภาพความเป็นอยู่ของเด็กล้าหลังไปอีกหลายปี และสร้างความตึงเครียดต่อสถานการณ์ว่าด้วยเรื่องของสิทธิเด็กทั่วโลก
ส่วนหนึ่งของรายงานได้เผยแพร่ตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึง5 ประเทศที่มีการบริหารจัดการสำหรับเด็กอันเหมาะสม ทั้งเรื่องของการเติบโตอย่างมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และการเข้ารับการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเคารพในสิทธิของเด็กที่ได้รับการยอมรับ
5 ประเทศดังกล่าว เป็นกลุ่มประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วได้แก่ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดนและเยอรมนี โดยในรายงานได้แบ่ง 20 ตัวชี้วัดออกเป็น 5 กลุ่ม คือ สิทธิในการอยู่รอด สิทธิต่อสุขภาพ สิทธิต่อการศึกษา สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสิทธิเด็ก
สำหรับประเทศไอซ์แลนด์ มาเป็นอันดับหนึ่ง ได้รับคะแนนสูงมากจากสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสิทธิเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายว่าด้วยเรื่องของสิทธิเด็กการให้ความสำคัญต่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก และการเคารพความเห็นของเด็กที่ได้รับการยอมรับ และแน่นอนว่า ในด้านการศึกษาก็เป็น 1 ใน 7 ประเทศ ที่มีคุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก
ส่วนประเทศอันดับสองอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับคะแนนสูงในด้านสิทธิการปกป้องคุ้มครอง เพราะให้ความสำคัญต่อเรื่องของแรงงานเด็ก อัตราของการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และการลงทะเบียนการเกิดอย่างมีระบบ และประเทศฟินแลนด์ ที่เป็นประเทศอันดับ 3 ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า เป็นประเทศอันดับต้นๆ ในเรื่องของการสร้างคุณภาพทางด้านการศึกษา ส่วนประเทศที่มีพัฒนาการในด้านสิทธิเด็กมากที่สุด ในรายงานบอกว่าเป็นอิตาลี ที่พุ่งจากอันดับที่ 74 ในปี 2019 (2562) มาเป็นอันดับที่ 15 ในปีนี้
และที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ เมื่อเราขยายอันดับในตัวชี้วัดประเทศในการบริหารจัดการสำหรับเด็กอันเหมาะสม จาก 5 อันดับแรก ไปเป็น 10 อันดับแรก จะเห็นรายชื่อของประเทศไทยปรากฏอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งรายงานดังกล่าว บรรยายออกมาว่า “เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ” ซึ่งโดยส่วนตัว ในฐานะคนไทย ก็คงต้องของเห็นแย้งในเรื่องของความประหลาดใจต่ออันดับที่ 8 สำหรับการเป็นประเทศที่บริหารจัดการเรื่องเด็กได้อย่างเหมาะสมก็เพราะว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญต่อเด็กเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องของนโยบายจากทางภาครัฐที่จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน ตั้งแต่การส่งมอบนมโรงเรียนเพื่อดื่มเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ อาหารกลางวันฟรีเพื่อไม่เป็นภาระของผู้ปกครองการเรียนฟรีจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3สวัสดิการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเด็ก การกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น นโยบายเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อครอบคลุมการสร้างคุณภาพชีวิตและการศึกษาของเด็กอย่างครบถ้วน รวมไปถึงมาตรการทางด้านกฎหมายต่างๆ ที่คำนึงถึงสิทธิเด็กที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในเรื่องต่างๆ ความเข้าใจในการดำเนินการ และการเยียวยารักษาในกรณีที่มีปัญหาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเด็ก
สำหรับประเทศไทยนั้น ในรายงานการชี้วัดอันดับว่าด้วยสิทธิเด็กเห็นว่าเราควรได้อันดับหนึ่งในด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่ครอบคลุมเรื่องของการไม่เลือกปฏิบัติต่อเด็ก การยึดในหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก มีกฎหมายดูคุ้มครองเด็กมีงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เคารพความเห็น และให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการมีส่วนร่วมในภาคประชาสังคมในด้านสิทธิเด็ก
นอกจากประเทศไทยแล้ว ในรายงานนี้ก็ยังมีประเทศตูนิเซียที่อยู่ในอันดับ 17 ในขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับ 196 และนิวซีแลนด์ในอันดับที่ 135 ซึ่งหลายท่านอาจแปลกใจ ว่าทำไมประเทศเหล่านี้ไม่อยู่ในอันดับต้นๆ นั่นก็เป็นเพราะว่า การจัดอันดับครั้งนี้ ไม่ได้วัดเพียงแค่ว่า ประเทศไหนเด็กมีชีวิตความเป็นอยู่ดีที่สุด แต่เป็นเรื่องของการให้สิทธิแก่เด็กที่มีความเหมาะสมเข้ามาเป็นตัวชี้วัดที่มีน้ำหนักสำคัญ ซึ่ง 5 ประเทศที่ได้รับคะแนนน้อยที่สุดก็คือ สาธารณรัฐแอฟริกากลางสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน อัฟกานิสถาน และประเทศชาด ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปแอฟริกา
ท้ายที่สุด การหยิบรายงานว่าด้วยสิทธิเด็กมาสื่อสารในครั้งนี้ เพื่อต้องการจะบอกว่า ประเทศจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าในรูปแบบไหน และอย่างไร กลไกหรือฟันเฟืองที่สำคัญก็คือ เหล่าเด็กๆ ในวันนี้ เพราะฉะนั้น นโยบายหรือกฎหมายรวมไปถึงสิทธิต่างๆ สำหรับพวกเขาณ ตอนนี้ จะกลายเป็นปุ๋ยที่ดี น้ำที่ชุ่มชื่น อากาศที่เหมาะสม และดินอันอุดมสมบูรณ์ สำหรับดอกผลที่จะงดงามในภายภาคหน้า นั่นคือการเติบใหญ่ขึ้นมาของเด็กๆ จนกลายเป็นพลเมืองของประเทศ และของโลกใบนี้อย่างมีคุณภาพ ดังนั้น ถ้าอยากให้ประเทศ หรือโลกของเรากลายเป็นแบบไหนก็อยู่ที่ความใส่ใจของพวกเราที่มีต่อเด็กๆ เหล่านั้นในวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี