พวกเราทุกคนมีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับ “ปัญหาสุขภาพจิต” ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือมาจากที่แห่งใดก็ตาม แต่ในเรื่องของความเสี่ยงสำหรับการต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตนั้น กลับมิได้กระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันในสังคมของเรา ซึ่งแน่นอนว่า คนที่ประสบกับปัญหาชีวิตจะเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเกิดความไม่ปกติของสุขภาพจิตได้มากกว่ากลุ่มคนทั่วไป ดังนั้น เมื่อมาตรการการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพสังคมและระบบเศรษฐกิจ นี่เองที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสถานะทางการเงินของประชาชนตกอยู่ในภาวะอันเลวร้าย การกระจายตัวที่ไม่เท่าเทียมกันของปัญหาสุขภาพจิตจึงปรับอัตราเพิ่มสูงขึ้นตามมา
และนี่คือระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ เพราะผลลัพธ์ที่ปลายทางอันนำมาซึ่งรายจ่ายมหาศาลในการจัดการด้านการรักษาพยาบาล และบำบัด จำนวนการ
ก่ออาชญากรรมที่อาจถีบตัวสูงขึ้นจนกลายเป็นความกังวลของสังคม หรือในทางเลวร้ายที่สุด ซึ่งเป็นปัญหามาแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ คือ การฆ่าตัวตายที่สามารถกลายเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบได้เป็นต้น เหล่านี้เองที่ทำให้ “ปัญหาสุขภาพจิต” ต้องได้รับความสนใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันวางแนวทางในการแก้ไขให้เข้มข้นกว่าที่ผ่านมา เหล่านี้จึงเป็นที่มาที่ไปของบทความชิ้นนี้
คงต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจของคนทั่วไปต่อปัญหาสุขภาพจิตในอดีตมักตัดสินที่มาของปัญหา หรือโรคทางสุขภาพจิต ไปที่การมีเวลามากเกินไปของคนที่มีฐานะดี ทำให้ใช้เวลาที่ล้นเหลือในการคิดเกี่ยวกับเรื่องที่รบกวนจิตใจจนเกินพอดี และคนที่ทำงานหนัก ทำงานเยอะ จะไม่มีเวลาคิดอะไร และห่างไกลจากปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งก็เป็นกลไกของความคิดที่มีทฤษฎีอันน่าสนใจแต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความเชื่อมโยงดังกล่าวอย่างชัดเจน แต่สำหรับเรื่องของความยากจนนั้น จากการศึกษาพบว่ามีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะด้วยการรับรู้ที่ไม่ได้อ้างอิงจากสถิติใดๆก็พอจะเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าปัญหาของการฆ่าตัวตายที่มาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ เรื่องของหนี้สินและความยากลำบากทางการเงินของตัวเองและครอบครัว ยิ่งในช่วงเวลาที่สถานการณ์โควิด-19 เข้ามาสั่นคลอนสภาวะทางเศรษฐกิจแบบนี้ ก็เหมือนเป็นตัวเร่งให้ “ความเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต” แสดงอาการยิ่งขึ้น และอย่างต่อเนื่อง
ถึงตรงนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องความยากจน การเข้าไม่ถึงโอกาสในชีวิต ความเหลื่อมล้ำ เป็นปัจจัยต้นๆ ในการสร้าง “ปัญหาสุขภาพจิต” แก่คนในสังคม ซึ่งอาจนำไปสู่ผลอันน่าเป็นห่วงได้ในอนาคต และจากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO)ก็ออกมายืนยันว่า ประชากรที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจนั้นมีปัญหาความย่ำแย่ทางสุขภาพจิตมากกว่าคนปกติทั่วไป หรือคนที่มีอันจะกิน และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้รับการเรียนรู้ทักษะในการเผชิญกับปัญหามาแล้วก็ตาม แต่เมื่อสภาพทางการเงินล้มเหลวก็นำไปสู่ความบกพร่องของสภาพจิตใจได้อย่างไม่ยากเย็นเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า “การตกงาน”หรือ “การว่างงาน” เป็นปัจจัยสำคัญของการก่อปัญหาสุขภาพจิตก็คงจะไม่ผิด เพราะการไม่สามารถเข้าถึงงานได้นั้น มีผลต่อคุณภาพชีวิตแทบทุกส่วนตั้งแต่สถานะทางสังคม ความมั่นใจ และเป้าหมายในชีวิต ซึ่งจากการวิจัยของ “มูลนิธิสุขภาพจิตแห่งสหราชอาณาจักร” พบว่า ร้อยละ 28 ของประชาชนที่กำลังจะตกงาน และร้อยละ 9ของประชากรที่ต้องเกษียณจากงานต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตที่รุมเร้าจากความกังวลในเรื่องต่างๆ อาทิ ความยากจนอันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ลดลง ความเครียดในความไม่มั่นคงทางการเงิน ขาดความมั่นใจเมื่อสถานะทางสังคมหดหาย ไม่มีความพึงพอใจเมื่อต้องปรับตัวไปใช้สวัสดิการของรัฐ และการพยายามหนีหายไปจากความเชื่อมโยงทางสังคม
อีกหนึ่งงานวิจัยโดย The Organisation for Economic. Co-Operation and Development (OECD) ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่า การตกงานคือหายนะของประชาชน ทำให้เกิดความเครียด ภาวะซึมเศร้า และอาการวิตกกังวล จากคุณภาพชีวิตและความภาคภูมิใจที่ลดทอนลง เหล่านี้เป็นอันตรายอันใหญ่หลวงของปัญหาสุขภาพจิตที่ทั่วโลกเริ่มตื่นตัวและพยายามหาทางออกจากปัญหานี้กันอยู่
อย่างที่กล่าวไปแล้ว สถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร้าให้เกิด “ปัญหาสุขภาพจิต” อย่างแพร่กระจายในประชากรที่มีสถานะทางเศรษฐกิจอันไม่มั่นคงนัก ดังนั้น นโยบายสำคัญที่รัฐต้องบริหารจัดการก็คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ด้วยการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม อาจเริ่มจากการแก้ปัญหาเรื่องแรงงานที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเรื่องค่าแรง (สำหรับนอกระบบ) และการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ด้วยการพาพวกเขาเข้าให้ถึงสวัสดิการที่รัฐเตรียมไว้รองรับให้ได้ และโดยเร็วที่สุดที่สำคัญ รัฐต้องสร้างสภาพคล่องทางการเงินให้แก่แรงงานที่เดือดร้อน ด้วยการปล่อยเงินกู้ยืมในอัตราที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต โดยที่ว่างเว้นจากการจ่ายคืนและการคิดดอกเบี้ยไปใน12 เดือนแรก และต้องไม่จำกัดสถานะทางการเงิน รวมไปถึงการพักหนี้และดอกเบี้ยสำหรับบุคคลเหล่านี้อย่างแท้จริง เพื่อเติมลมหายใจให้แก่พวกเขาในการดำรงชีวิตต่อไปอย่างมีกำลังและความหวัง
อีกสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ และสามารถทำได้ทันที ก็คือการดูแลเรื่องปากท้องของเด็กๆ จากครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตอนนี้โครงการอาหารกลางวันของนักเรียน และนมโรงเรียน ครอบคลุมเพียงวันเปิดทำการของโรงเรียนเท่านั้น ดังนั้น ถ้าสามารถขยายไปถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ด้วยระบบบริหารจัดการเหมือนตอนที่เลื่อนการเปิดเทอมออกไปแต่ยังบริการอาหารกลางวันและนมโรงเรียนฟรีแก่นักเรียนอยู่ ในส่วนตรงนี้ก็จะช่วยผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวเด็กๆ เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
รวมไปถึงการที่หน่วยงานในระดับชุมชนให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในการเสริมสร้างสุขภาพจิตของชาวบ้านในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำงานด้านสาธารณสุขในแบบเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคู่สายหรือช่องทางในการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต หรือการลดความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ สร้างการเข้าถึงในเรื่องปัญหาสุขภาพจิตในระดับชาวบ้านให้มากขึ้นด้วยหน่วยจิตแพทย์เคลื่อนที่ ตรงนี้ก็จะช่วยเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญที่ทำให้ปัญหาสุขภาพจิตในประเทศของเรา ไม่ลุกลามบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรังในอนาคตซึ่งเมื่อไปถึงตรงนั้น การแก้ไขคงไม่ง่ายเหมือนกับการเตรียมการป้องกันไว้ในตอนนี้อย่างแน่นอน
ก็ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อน ให้ภาครัฐลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหานี้อย่างไม่ประนีประนอมด้วยนะคะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี