“ฉันเชื่อว่าผู้คนควรใช้เวลากับครอบครัว คนที่รัก งานอดิเรกและด้านอื่นๆ ของชีวิต เช่น ด้านวัฒนธรรม นี่อาจเป็นอีกขั้นตอนต่อไป สำหรับพวกเราในชีวิตการทำงาน” นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับแนวคิด “การทำงานแบบยืดหยุ่น” ของ“ซานนา มาริน” นายกรัฐมนตรีวัย 34 ปีแห่งประเทศฟินแลนด์ ที่ได้ไปบรรยายในงานครบรอบ 120 ปี ของพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งฟินแลนด์ (SDP) ณ เมืองทัวร์คู ซึ่งในช่วงเวลานั้นเธอดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เมื่อเธอได้รับการรับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี แนวคิดดังกล่าวนี้เองจึงได้รับการคาดหวังจากประชาชนว่าจะกลายเป็นนโยบายที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในประเทศฟินแลนด์ ผ่านความเชื่อที่ว่า การลดเวลาในการทำงานลงเป็นวันละ6 ชั่วโมง และทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นซึ่งปัจจุบันแรงงานในฟินแลนด์ มีรูปแบบตารางการทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ8 ชั่วโมง เหมือนหลายๆ ประเทศ
หลังการเผยแพร่ประเด็นดังกล่าวนี้บนโลกออนไลน์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้รับความสนใจจากนักบริหารจัดการทั่วโลกที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ และคิดว่าน่าจะมีประสิทธิภาพกว่ารูปแบบการทำงานเดิมๆ กระนั้น ทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลฟินแลนด์ได้สื่อสารชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายนี้ว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่นโยบายหรือแนวทางดังกล่าวนี้ก็เข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวฟินแลนด์และคนทั่วโลกไปเสียแล้ว ดังนั้น คำถามที่ตามมาก็คือว่า “ซานนา มาริน” ผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกคนนี้ คิดได้ถูกต้องเกี่ยวกับผลลัพธ์ของแนวทางหรือนโยบายดังกล่าวหรือไม่
ในการทดลองหนึ่งของบริษัทไมโครซอฟท์ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า “Work-Life Choice Challenge Summer2019” ได้เชิญชวนให้พนักงานกว่า 2,300 คน ให้หยุดงานทุกวันศุกร์ต่อเนื่องกัน 5 สัปดาห์ โดยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการหักเงินเดือน ลงโทษ หรือถูกเจ้านายต่อว่า ซึ่งมีผลลัพธ์ที่ออกมาน่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังพนักงานมีวันหยุดเพิ่มขึ้นเป็น 3 วันต่อสัปดาห์ มีการประเมินออกมาว่า พวกเขามีความสุขมากขึ้น และกระฉับกระเฉงในการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ที่สำคัญบริษัทยังได้อานิสงส์จากวันหยุดที่เพิ่มขึ้นด้วยรายจ่ายทางธุรการที่ลดลง อาทิ ค่าไฟและการใช้เครื่องพิมพ์เอกสาร เป็นต้น
“ผมต้องการให้พนักงานได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง ว่าพวกเขาสามารถทำผลงานให้ดีขึ้นได้ด้วยเวลาการทำงานที่ลดลงถึง 20%” นี่คือเหตุผลในการดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้ของ“ทาคุยะ ฮิราโนะ” ผู้บริหารของไมโครซอฟท์ที่ประกาศผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของบริษัท
และถึงแม้ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น จะยังไม่ถูกนำมาปรับใช้ให้เป็นนโยบายของบริษัทแห่งนี้อย่างถาวร แต่ทางผู้บริหารก็มีแนวทางการทดลองในรูปแบบอื่นๆ เกี่ยวกับการลดชั่วโมงในการทำงาน เพื่อสร้างประสิทธิภาพของพนักงาน วางอยู่ในแผนประจำปีของบริษัทเอาไว้ เพื่อทดสอบจนแน่ใจในผลลัพธ์ที่แสดงออกมาให้ชัดเจนที่สุด อาทิ การลดชั่วโมงในการทำงานจาก8 เหลือ 6 ชั่วโมง และการเลือกวันหยุดประจำสัปดาห์เอง เป็นต้น
อีกแนวทางหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นได้นำมาทดลองใช้อย่างเป็นทางการ ในการลดเวลาการทำงานลง แม้จะไม่ได้เป็นการตัดเวลาออกไป แต่ก็กำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอนเอาไว้ เพื่อลดปัญหา “การทำงานหนัก” จนเสียชีวิต ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของแต่ละบริษัทในประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ว่าราชการในจังหวัดโอซากา“ฮิโรฮูมิ โยชิมูระ” ได้ออกมาตรการ “ปิดระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ” ต่อข้าราชการประจำ ประมาณ 7,600 คน รวมถึงตำรวจและโรงเรียนรัฐบาล เพื่อลดการทำงานล่วงเวลา ด้วยการส่งคำเตือนก่อนเวลาเลิกงาน 30 นาที บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของพนักงานทุกคน จากนั้นคอมพิวเตอร์จะทำการปิดตัวเองเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
สำหรับผลจากการนำมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้ สามารถประหยัดงบประมาณไปได้กว่า 50 ล้านเยน จากเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ และค่าทำงานล่วงเวลา แต่สำหรับเรื่องแก้ปัญหาการ “ทำงานหนัก”ของชาวญี่ปุ่นนั้น ยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นักเพราะค่านิยมในการทำงานลักษณะนี้ถูกส่งต่อความเชื่อมาอย่างยาวนาน และยากจะเปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ในทันที ดังนั้น เรื่องของการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับเวลาในการปฏิบัติ ที่มี 2 ทฤษฎีกำลังปะทะกันอยู่นั้น คือ ใช้เวลาให้มากเพื่อความคุ้มค่า และผลสัมฤทธิ์ หรือใช้เวลาให้น้อยลง แต่เพิ่มประสิทธิภาพ จึงกลายเป็นความสนใจของนักวางแผนนโยบายเป็นอย่างมากในเรื่องของคำตอบที่พวกเขาต้องการ ว่าควรวางอยู่บนรูปแบบใดถึงจะได้ผลลัพธ์สูงสุดจากการทำงานของพนักงานคนหนึ่ง
มีบทความหนึ่งของ “ทิม วอล์กเกอร์”ชาวอเมริกัน ที่เข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ในฐานะคุณครู ที่แปลกใจกับระบบการเรียนการสอนแบบ 45/15 เป็นอย่างมาก ในตอนที่เขาเข้าไปสอนใหม่ๆที่โรงเรียนจะให้นักเรียนอยู่ในห้องเรียน45 นาที และออกไปพักนอกห้องเรียน15 นาที สลับกันไปในแต่ละคาบเรียนของทั้งวัน ซึ่งในตอนแรกเขาไม่เห็นด้วย และไม่ยอมนำระบบนี้มาใช้ในคาบเรียนของเขา
จนกระทั่ง วันหนึ่ง “ทิม วอล์กเกอร์”อยากจะพิสูจน์ให้ชัดว่า ตกลงระบบ 45/15 กับระบบปกติแบบไหนจะมีประสิทธิภาพกว่ากัน เขาจึงลองใช้ระบบ 45/15 กับนักเรียนของเขาเพื่อเปรียบเทียบในสิ่งที่เกิดขึ้น และผลของการประเมินก็ทำให้เขาได้ทราบว่า ช่วงเวลา 15 นาทีนั้น เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากเสมือนเป็นการชาร์ตพลังให้กับนักเรียนอีกครั้ง นี่เองที่ทำให้การกลับไปเข้าห้องเรียนหลังจากการพัก นักเรียนจะมีความกระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยสมาธิ และกระหายที่จะเรียนรู้มากขึ้น
ส่วน “ทอม แรธ” (Tom Rath) ผู้เขียนหนังสือ Are You Fully Charged ได้หยิบเอาแนวคิดนี้ไปเปรียบเทียบกับตารางการทำงานของคนทั่วไป (พนักงานเงินเดือน) โดยไปหาข้อมูลจากแอพพลิเคชั่นเดสก์ไทม์ (Desk Time) บริการสำหรับเก็บข้อมูลการทำงานของพนักงานในแต่ละวันโดยเมื่อเข้าไปดูสถิติของพนักงาน 36,000 คนหรือ 10% ของทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนของพนักงานที่ทำผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะมีการแสดงออกมาว่า คนกลุ่มนี้จะใช้เวลาทำงานประมาณ 52 นาที และจะพัก 17 นาที จากนั้นก็จะกลับมาทำงานอีกครั้งอย่างจดจ่อ “ทอม แรธ” จึงได้แนะนำให้ผู้อ่านหนังสือของเขาทดลองใช้ระบบ 45/15 ในการทำงาน และปรับช่วงเวลาพักให้เหมาะสมกับบริบทของงาน เพราะเชื่อว่า การพัก หรือใช้เวลาในการทำงานให้น้อยลง จะทำให้เกิดศักยภาพของงานมากยิ่งขึ้น แม้แต่จะเอาเวลาในนั้นไปออกกำลังกายก็ตาม
สำหรับประเทศไทยของเรา ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ปี 2562 ก็เคยมีบางพรรคการเมืองเสนอแนวคิดหรือนโยบาย “การทำงานแบบยืดหยุ่น” อาทิ สัปดาห์ละ 4 วัน ที่บริษัท และอีก 1 วันที่บ้าน เพื่อลดปัญหา PM2.5 หรือช่วงโควิด-19 กับการ Work from Home หลายบริษัทก็ออกมายอมรับว่า ได้ผลลัพธ์ของผลงานที่มีประสิทธิภาพกว่าการนั่งทำงานในออฟฟิศ (สำหรับบางงาน และหลายงานก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก) หรือก่อนหน้านี้ ก็มีแนวคิดเรื่องการเหลื่อมเวลาในการเข้า-ออกงานของพนักงานเสนอมา เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด ซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิตและความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน
เหล่านี้ล้วนเป็นข้อเสนอที่จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ของการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ลดการใช้แรงงานบุคคลและการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกสมัยใหม่ หรือระบบการทำงานในอนาคตกำลังดำเนินไปในทางนี้ จึงเห็นว่า เรื่องนี้ควรเป็นประเด็นที่พวกเรา หรือภาครัฐควรจะต้องคิดพิจารณาว่าทิศทางที่เหมาะสมต่อประเทศไทยควรจะไปทางไหน และเป็นอย่างไร จะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี