เมื่อสุนัขที่เลี้ยงไว้ผสมพันธุ์ สิ่งที่เราคาดหวังไว้ก็คือลูกสุนัขตัวน้อยที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการทราบการตั้งท้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะได้ปรับการดูแลทั้งเรื่องอาหารและการจัดการดูแลแม่สุนัข เรามีวิธียืนยันการตั้งท้องของแม่สุนัขอย่างไร วันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ
ในปัจจุบันการตรวจยืนยันการตั้งท้องในสุนัขมีหลายวิธี ได้แก่
1.ลักษณะทางร่างกายและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
ลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไปของแม่สุนัขหลังผสมพันธุ์ได้แก่ การที่มีช่องท้องขยายใหญ่ขึ้น เต้านมเริ่มขยาย และหัวนมมีสีชมพูอ่อน รวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การกินอาหารต่างจากเดิม กินน้อยลงหรือกินมากกว่าปกติ การแสดงออกที่เปลี่ยนไป เรียบร้อยขึ้นหรือหงุดหงิดง่ายขึ้น
2.การตรวจร่างกาย โดยการคลำผ่านทางหน้าท้อง
การคลำท้องสุนัขเพื่อตรวจการขยายตัวของมดลูก ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของผู้ตรวจ เนื่องจากหากทำด้วยความรุนแรงและไม่ระมัดระวัง อาจมีผลกระทบให้เกิดการแท้งได้ โดยการตรวจในช่วงท้ายของการตั้งท้อง จะพบการกับเคลื่อนไหวของลูกสุนัขในมดลูกได้ ก็จะเป็นการยืนยันที่แม่นยำขึ้น
แต่การตรวจท้องโดยการคลำนี้ ไม่สามารถบอกจำนวนลูกสุนัขที่แน่นอนได้ ต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย
3.การถ่ายภาพเอกซเรย์
การตรวจโดยวิธีนี้จะเห็นโครงกระดูกและหัวกะโหลกของลูกสุนัข โดยปกติแล้วลูกสุนัขจะเริ่มมีการสะสมแร่ธาตุเพื่อสร้างกระดูกที่ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หลังการปฏิสนธิ ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลดี การตรวจโดยวิธีนี้ จึงนิยมทำตั้งแต่วันที่ 45 หลังการผสมเป็นต้นไป
วิธีนี้ให้ความแม่นยำค่อนข้างสูง และสามารถบอกจำนวนลูกสุนัขได้โดยการนับจำนวนหัวกะโหลกและกระดูกซี่โครงที่มองเห็นในฟิล์ม รวมถึงสามารถประเมินการความจำเป็นในการผ่าคลอด จากขนาดของลูกและกระดูกเชิงกรานของแม่ ท่าทางการจัดตัวของลูกสุนัขในมดลูกด้วย
การประมาณจำนวนลูกสุนัขด้วยการนับโครงกระดูกและกะโหลกของลูกที่ปรากฏในฟิล์มนั้น เราอาจประเมินได้ต่ำกว่าจำนวนลูกจริง เนื่องจากเรียงตัวกันของลูกที่ซ้อนทับกัน ทำให้อาจไม่เห็นตัวที่อยู่ทางด้านล่างได้ รวมถึงไม่สามารถตอบได้ว่าลูกสุนัขมีชีวิตอยู่หรือไม่
4.การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรือ “อัลตราซาวนด์”
วิธีนี้จะมีความปลอดภัยต่อแม่และลูกสัตว์ และมีความแม่นยำสูงหากการตรวจโดยสัตวแพทย์ผู้มีความชำนาญ วิธีนี้สามารถตรวจพบการตั้งท้องได้ค่อนข้างเร็ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งท้องขึ้นไป และหากตรวจหลังสัปดาห์ที่ 4 ของการตั้งท้องขึ้นไปแล้ว สามารถตรวจพบการเต้นของหัวใจลูกสุนัขได้ด้วย
การทำอัลตราซาวนด์นี้ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถบอกการมีชีวิตอยู่ของลูกสัตว์ได้ด้วย และไม่มีผลข้างเคียงต่อสัตว์หากได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ผู้ชำนาญ แต่การตรวจโดยวิธีนี้อาจบอกจำนวนลูกได้ไม่ชัดเจน จึงนิยมทำการตรวจร่วมกับการเอกซเรย์
5.การตรวจโดยการตรวจฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่มีความจำเพาะต่อการตรวจการตั้งท้อง คือRelaxin hormone ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ถูกสร้างขึ้นจากรกของสุนัข ดังนั้นสุนัขท้องจะมีฮอร์โมนตัวนี้สูง
วิธีนี้ สามารถตรวจได้ตั้งแต่ประมาณสัปดาห์ที่ 3-4 ของการตั้งท้อง แต่จะให้ผลที่แม่นยำมากเมื่อตรวจหลังสัปดาห์ที่ 4 โดยใช้ชุดทดสอบ ซึ่งสามารถทราบผลภายใน 10 นาทีเท่านั้น
ข้อดีของวิธีการตรวจวิธีนี้คือสามารถแยกการตั้งท้องจริงกับการตั้งท้องเทียม (pseudopregnancy) ได้ แต่วิธีนี้สามารถตอบได้เพียงว่าตั้งท้องหรือไม่ ไม่สามารถบอกได้ว่ามีลูกจำนวนกี่ตัว
ปัจจุบันในบ้านเรายังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการตรวจโดยวิธีการอื่น
จะเห็นว่าในการตรวจการตั้งท้องของสุนัขมีหลายวิธี ดังนั้นการตรวจสอบเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำนั้น อาจจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นๆประกอบกัน ขึ้นกับการพิจารณาร่วมกันของสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์ ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในแต่ละการตรวจ สิ่งที่สำคัญคือ ข้อมูลจากเจ้าของสัตว์ เช่นวันเวลาและความถี่ของการผสมพันธุ์ รวมถึงอาการและพฤติกรรมของสัตว์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยครับ
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี