“เราต้องยอมรับว่า โควิด-19 อาจไม่มีวันหายไป เพราะมันมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของมนุษย์ได้นั่นหมายความว่า โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งเราต้องเตรียมความพร้อมในการปรับชีวิตให้อยู่กับมันอย่างปกติสุข ตัวอย่างของโรคประจำถิ่นอันชัดเจนที่สุด คือ เชื้อไข้หวัดใหญ่ ทุกปีจะมีประชากรนับแสนรายได้รับเชื้อ แต่ส่วนใหญ่แล้วปลอดภัยได้เอง โดยไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล และแทบไม่ต้องใช้เวชภัณฑ์ (Medical Supplies) ใดๆ ในการรักษาเลย ดังนั้น เราสามารถทำให้โควิด-19 มีผลลัพธ์ออกมาในแบบเดียวกันนี้ได้คือ ไม่สามารถกำจัดมันได้ แต่ทำให้เป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุขอันเบาบางลงได้ เหมือนที่เกิดขึ้นกับไข้หวัดใหญ่โรคมือเท้าปาก หรืออีสุกอีใส ที่เราสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นปกติ”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของบทความที่มีชื่อว่า “ชีวิตปกติสุขกับโควิด-19” (Living with Covid-19 : Singapore’snew normal) ที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะสเตรตส์ไทมส์(The Straits Times) หนังสือพิมพ์รายวันภาคภาษาอังกฤษของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของที่นั่น โดยบทความชิ้นนี้เกิดขึ้นจากรัฐมนตรี 3 ท่านในรัฐบาล “ลี เซียนลุง” นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของสิงคโปร์ คือ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทั้ง 3 กระทรวงนี้เป็นเสมือนแกนสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19รวมไปถึงผลกระทบด้านสาธารณสุข และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์
บทความดังกล่าวนี้ได้รับการนำเสนอในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา (2021) ซึ่งได้อธิบายถึงเหตุผลในการปรับนโยบายไปสู่ “การอยู่กับโควิด-19 อย่างปกติสุข” รวมไปถึงกระบวนการที่จะดำเนินต่อไปอันจะเชื่อมโยงกับนโยบายนี้ แน่นอนว่า การสื่อสารนี้ หลักๆแล้วมุ่งตรงไปยังภาคธุรกิจเป็นสำคัญ ทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้า อันเป็นไปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสิงคโปร์ และการดำเนินการทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ส่วนประชาชนในประเทศสิงคโปร์นั้น ก็สร้างการรับรู้ต่อนโยบายใหม่นี้ของรัฐบาลผ่านนายกรัฐมนตรีของพวกเขา เมื่อ“ลี เซียนลุง” ปรากฏตัวผ่านหน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง ในวันเดียวกันกับการนำเสนอบทความของ 3 รัฐมนตรี จากนั้นนายกรัฐมนตรีคนนี้ก็ทำอย่างที่เคยทำ คือ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนของเขาด้วยภาษากาย และการนำเสนอนโยบายที่เข้าใจง่าย และชัดเจน
“รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ให้แก่ประชากรจำนวน 2 ใน 3 ของประเทศ ก่อนวันที่ 9 สิงหาคม (2021) ซึ่งเป็นวันชาติ เพราะการฉีดวัคซีน คือ กลยุทธ์สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ในประเทศได้ แน่นอนว่า ในตอนนี้เราไม่อาจกำจัดไวรัสโควิดให้หมดไป แต่เราก็สามารถบริหารจัดการมัน ให้เหมือนที่เราทำกับไข้หวัดธรรมดาได้ และกระบวนการเช่นนี้ เราจะดำเนินการดังนี้...”
ทั้งหมดนี้เป็นทัศนคติของฝ่ายบริหารนโยบายในการปรับจูนประเทศ และประชาชน เข้าสู่ระบบของการอยู่กับโควิดอย่างปกติ ซึ่งในส่วนนี้คือสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการกำหนดมาตรการใดๆ ออกมาให้เกิดการปฏิบัติอย่างเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ อันดับแรก ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นร่วมกันเสียก่อน และอันดับต่อมาก็ต้องสร้างความเข้าใจว่าทำไม และจะเริ่มกันอย่างไร รวมไปถึงปลายทางจะสิ้นสุดที่ตรงไหน และเป็นอย่างไร เพื่อที่ให้ฉากทัศน์ที่ฝ่ายบริหาร ประชาชน รวมไปถึงโลก สามารถที่จะมองเห็นออกมาได้ในแบบเดียวกัน ซึ่งหลังจากนั้นการร่วมแรง ร่วมใจ และความร่วมมือต่อแนวนโยบายก็จะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ และเปี่ยมไปด้วยความหวังที่ทุกคนมีร่วมกัน ทำให้การเติมกระบวนการปฏิบัติในลำดับถัดมาก็จะเป็นงานที่ง่าย และทำให้ผู้ต้องปฏิบัติรู้สึกขัดแย้ง หรือถูกบังคับ จนขาดความรู้สึกอยากร่วมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไป
ส่วนการดำเนินการที่รัฐบาลนำเสนอต่อประชาชนก็ง่ายๆ คือ กลับสู่พื้นฐานของการป้องกันตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้สิงคโปร์มองไกลไปถึงการไม่มีโควิด-19 ในประเทศ เพื่อปลดการป้องกันตัวเองทั้งหมดออกไป แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมแต่แนวทางเช่นนั้นกลับไม่ใช่ เมื่อทุกคนตระหนักว่า โควิดจะยังอยู่กับเรา การป้องกันตัวเองทางสาธารณสุขพื้นฐานจึงต้องเป็นหลักทางการดำเนินชีวิตอันเป็นปกติใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ มีการเว้นระยะห่าง ไม่อยู่ในที่แออัด และตรวจตราตัวเองในความสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่เสมอ
ในอีกทางนั้น ภาครัฐก็จะดำเนินการด้านวัคซีนอย่างทั่วถึง และครอบคลุม ซึ่งวางแผนไปในเรื่องของการฉีดเข็ม 3 เพื่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน รวมไปถึงการตั้งตัวเป็นแหล่งผลิตสำคัญให้กับวัคซีนชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ฯและแหล่งระบายวัคซีนชนิดนี้ให้กับภูมิภาคเอเชีย
พร้อมด้วยการตรวจหาเชื้อไวรัสเชิงรุก และการเอื้ออำนวยต่อการตรวจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการส่งที่ตรวจ ATK ผ่านไปรษณีย์ไปยังทุกบ้าน 2 ชิ้นต่อหนึ่งอาทิตย์ หรือแทรกแซงราคาชุดตรวจให้ราคาถูกลงมากที่สุด รวมไปถึงการบริหารด้านสาธารณสุขที่ให้ความสะดวก และประหยัด ต่อประชาชนรวมไปถึงนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสิงคโปร์ก็กำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับตรวจการรับเชื้อแบบสะดวกยิ่งกว่าให้กับประชาชน เท่าที่ทราบอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอุปกรณ์การตรวจเชื้อไวรัสจากลมหายใจเพิ่มเข้ามา
สำหรับการเปิดประเทศนั้น สิงคโปร์เริ่มที่จะทำรูปแบบการจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น อาทิ บรูไน เยอรมนี จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สหรัฐ แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก(เร็วๆ นี้ ก็จะมีเกาหลีใต้อีกประเทศ)ด้วยมาตรการการตรวจเชื้อที่ละเอียดยิบทั้งก่อนเดินทาง และเมื่อมาถึงแล้ว ที่สำคัญ สิงคโปร์ได้กำหนดการต้อนรับสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสเท่านั้น โดยที่นักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาไม่ต้องกักตัว อันที่จริง ก่อนหน้านี้สิงคโปร์ก็ได้เปิดศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ให้นักธุรกิจทั่วโลกเดินทางมาเจรจาการค้ากันแล้ว ด้วยมาตรการทางสาธารณสุขที่รัดกุม รวมไปถึงการอนุญาตให้แรงงานชาวต่างชาติในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลับเข้ามาขับทำงานต่อได้ เมื่อมีการตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยจากเชื้อไวรัส
รายละเอียดตามที่เล่ามานี้ เป็นแบบสรุปเท่านั้น ซึ่งในรายละเอียดที่มากขึ้น จะมีลำดับของเวลา การบริหารจัดการด้านความเสี่ยง และการทดสอบมาตรการต่างๆ อย่างเป็นระบบ อันจะเห็นได้จากต้นปี 2021 เป็นต้นมา สิงคโปร์เริ่มถอดบทเรียนของปัญหาทั้งเก่า และใหม่ ที่ได้รับจากโควิด-19 แล้วนำไปทดลองปฏิบัติได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง หรือต้องทำการแก้ไขจุดบกพร่องบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลของการบริหารจัดการที่ผ่านมานั้น พาสิงคโปร์มาถึงจุดที่รัฐบาลมองเห็นว่า “การอยู่ร่วมกับโควิดอย่างปกติสุข” คือ ทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ และประชาชน พร้อมชักชวนทุกคนให้มองไปที่ดาวดวงเดียวกันท้ายที่สุด แนวทางนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้น ตรงนี้เป็นเพียงความหวัง แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ความเชื่อมั่นของประชาชน ที่จะเดินตามแนวทางของ ““ลี เซียนลุง” และรัฐบาลของเขาหรือไม่ ถ้าพร้อมไป ก็น่าจะเป็นงานง่าย แต่ถ้าไม่ ก็อาจต้องเตรียมนโยบายต่อไป เพื่อเอาไว้แก้ตัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี