“โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” เป็นคำถามที่เด็กทุกคนต้องเคยถูกผู้ใหญ่ถามไม่มากก็น้อย ซึ่งแต่ละคนก็จะตอบแตกต่างกันไปครู หมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจ วิศวกรดารา ฯลฯ “แต่เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่..มีคนที่ได้เป็นเช่นนั้นสักกี่มากน้อย?” ซึ่งข้อแตกต่างนั้นอยู่ที่ “การวางแผน” โดยหากเด็กคนใดที่ตนเองหรือครอบครัวสามารถกำหนดให้ชัดว่าต้องทำอะไรบ้างอย่างเป็นขั้นตอนแล้วค่อยๆ ก้าวเดินไปตามแผนนั้น โอกาสที่ความฝันจะกลายเป็นความจริงในอนาคตย่อมมีมากกว่าเด็กหรือครอบครัวที่ปล่อยชีวิตลอยไปลอยมาไปวันๆ หนึ่งตามโชคชะตา
“ประเทศชาติก็ไม่ต่างกับบุคคล” ที่ผ่านมาสังคมไทยฝันกันอยู่เสมอว่า “สักวันหนึ่งไทยจะเป็นประเทศโลกที่ 1 ผู้พัฒนาแล้ว” แต่คำถามคือ “แล้วเราเคยมีแผนหรือไม่?”ในการนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายนั้น รวมทั้ง “ถ้ามีแผนแล้วเคยทำตามแผนกันจริงๆ จังๆ หรือเปล่า?” ถึงได้ลุ่มๆ ดอนๆ ติดหล่ม “กับดักรายได้ปานกลาง” มานานนับสิบปี ในขณะที่บางประเทศซึ่งกำเนิดขึ้นทีหลังไทยและเคยพัฒนาตีคู่มาด้วยกันกลับแซงหนีไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมประจำปี 2561 “ยุทธศาสตร์ชาติอนาคตไทย อนาคตเรา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงที่มาที่ไปว่าเหตุใดประเทศไทยต้องมี “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” โดยแผนนี้จะเป็น “แนวทาง” บอกขั้นตอนไปสู่ความฝันที่ว่าประเทศไทยกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 20 ปีข้างหน้าได้อย่างไร
“จากประสบการณ์ที่อยู่กับภาคเอกชนมา องค์กรต่างๆ จะเริ่มจากการกำหนดก่อนว่าเราจะเป็นใคร เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คิดว่าเราจะเป็นใคร อีก 5 ปีให้หลัง 10 ปีให้หลัง 20 ปีให้หลัง ผมบอกเลยว่าบริษัทเจ๊งแน่ เพราะเพื่อนๆ เราเขามีแผน ภายใน 5 ปีจะเปลี่ยนเป็นคนไหน? จะเอาเทคโนโลยีตัวไหนมาใช้? แล้วเราจะก้าวต่อไปอย่างไร? แล้วเขาจะไปสู่เป้าหมายอย่างไร? จะวางกลไกวางกรอบอย่างไร?” กอบศักดิ์ กล่าว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อไปว่า จากการทำงานของรัฐบาลเพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนนำมาเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พบว่ามีมากถึงกว่า 2,000 ข้อเสนอแนะ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงกำชับให้ “ทำในเรื่องที่ประชาชนเรียกร้องต้องการมากที่สุดก่อน” จนสรุปออกมาได้ 6 เรื่อง ได้แก่ 1.แก้ปัญหาความยากจน เป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขมากที่สุด เช่น หากตั้งเป้าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วใน 20 ปี แต่ยังมีเกษตรกรที่ยังจน มีได้รายได้เพียง 2,000 บาทต่อเดือนอีก 20 ล้านคน
คำถามคือแล้วจะเฉลี่ยให้คนกลุ่มนี้มีรายได้ขึ้นไปถึง 15,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปีได้อย่างไร? ซึ่ง 15,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อคูณเข้าไปก็เกือบ 6 แสนบาทต่อคนต่อปี จากเงินเดือนที่ได้คนละ 2,000 บาท 1 ปี ได้ 24,000 บาท ถ้าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องมาตอบโจทย์การแก้จนให้ประชาชนด้วย 2.ลดความเหลื่อมล้ำ ประเด็นนี้สังคมไทยก็พูดถึงมากเช่นกันว่า “ช่องว่างทางโอกาสต่างกันเหลือเกิน” คนหนึ่งได้ทุกอย่างแต่อีกคนถูกหลงลืมแทบไม่ได้อะไรเลย ซึ่งระบบต่างๆ ที่เป็นอยู่ อาจทำให้คนตัวใหญ่ได้เปรียบคนตัวเล็กมากเกินไปก็เป็นได้
3.แก้ปัญหาทุจริต ประชาชนอยากให้การบริหารของภาครัฐโปร่งใส 4.ปฏิรูประบบราชการให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง เรื่องนี้มีตัวอย่างจากกรณี “การทำหนังสือเดินทาง (Passport)” ในอดีตจะต้องตื่นแต่เช้ามืด ไปนั่งรอที่กระทรวงการต่างประเทศจนถึงบ่ายๆ เพื่อรอนัดหมายมารับหนังสือเดินทางในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ปัจจุบันการขอทำหนังสือเดินทางที่กรมการกงสุล ถ.แจ้งวัฒนะ ยื่นเรื่องตามขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็มารับหนังสือเดินทางได้แล้ว จึงมีเสียงเรียกร้องอยากให้หน่วยงานอื่นๆ ทำได้เช่นนี้บ้าง
5.การมีส่วนร่วม ที่ผ่านมาการพัฒนามักใช้หลักคิด “จากบนลงล่าง” แต่ต่อมาก็พบว่าหลักคิดดังกล่าวแทบไม่เคยประสบความสำเร็จ จนมีการเปลี่ยนหลักคิดเป็น “การพัฒนาต้องทำจากล่างขึ้นบน และเป็นการระเบิดจากข้างใน” กล่าวคือ “แต่ละชุมชนมีความคิดในใจอยู่แล้วว่าอยากพัฒนาชุมชนของตนอย่างไร” เพียงแต่ติดขัดข้อกฎหมาย “นั่นก็ทำไม่ได้นี่ก็ห้ามเพราะผิดระเบียบราชการ” ดังนั้นกฎหมายที่เป็นอุปสรรคไม่สอดคล้องกับยุคสมัยก็ต้องปรับแก้
อาทิ ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามเรียกร้องให้ประชาชนปลูกต้นไม้มากๆ แต่ประชาชนจะย้อนถามกลับว่า “จะให้เสียแรงปลูกทำไม? ปลูกไปก็ตัดไม่ได้เดี๋ยวติดคุก แม้จะปลูกในที่ดินตนเอง” เรื่องนี้ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างเร่งแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ให้ประชาชนสามารถปลูกไม้หวงห้ามซึ่งเป็นไม้มูลค่าสูงในที่ดินของตนเองได้
ทั้งนี้เคยมีการพบประชาชนบางรายปลูกต้นสักไว้ถึง 1,000 ต้น และหากไม้สักโตเต็มที่คืออายุ 25 ปี จะสามารถตัดขายได้ต้นละ 25,000 บาท ประชาชนรายนั้นก็จะมีรายได้ถึง 25 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายสถาบันการเงินชุมชน เพื่อให้กลุ่มออมทรัพย์ของแต่ละชุมชนมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย กฎหมายป่าชุมชนเพื่อแยกให้ชัดระหว่างป่าของชุมชนที่ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้กับป่าที่กำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ เป็นต้น
“ที่บ้านผมมีคุณยายอายุ 105 ปี ยังคุยรู้เรื่องแต่ไม่สามารถลุกจากเตียงได้ เรามีฐานะก็จ้างคนดูแลทั้งวัน 24 ชั่วโมงแต่ประชาชนจำนวนมากที่เขาไม่มี ชุมชนเขาก็ตั้งใจจะทำโครงการนักบริบาลชุมชน ปรากฏ สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) บอกว่าท้องถิ่นไม่มีอำนาจจ้างผู้บริบาลไปดูแลผู้สูงอายุในชุมชนของเขา ก็ผ่านกฎหมายการกระจายอำนาจแล้วว่าเรื่องนี้สามารถให้ท้องถิ่นทำได้ นั่นหมายถึงผู้สูงอายุทั่วไทยจะได้รับการดูแลจากนักบริบาลชุมชนอย่างแท้จริง” นายกอบศักดิ์ ยกตัวอย่าง
และ 6.สร้างอนาคต เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือการพัฒนาประเทศไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่ถึงกระนั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ฝากทิ้งท้ายด้วยข้อคิดในฐานะที่เป็นคนจากภาคเอกชนมาก่อน ว่ากิจการที่ประสบความสำเร็จด้วยดีกิจการที่บุคลากรรู้สึกว่าต้องมีส่วนร่วมลงมือปรับปรุงและรักษาองค์กรให้อยู่รอด ไม่ใช่นั่งดูแล้วก็บ่นไปวันๆ ว่าไปไม่ไหวแล้วต้องเจ๊งแน่ๆ ยุทธศาสตร์ชาติก็เช่นกัน คงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยกำลังของรัฐบาลหรือภาครัฐอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการร่วมคิด - ร่วมทำของทุกฝ่ายทุกคน
เพื่อให้การเป็นประเทศพัฒนาแล้วของไทย “ไม่ใช่แค่ความฝัน”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี