“เธอล้มกายลงบนเตียง เพราะเพียงคนข้างหลัง ในใจเธอมีหวัง พ่อเธอนั้นต้องหายป่วย เธอพลีเรือนร่างอันงดงามให้ชายเสพกามอารมณ์หมาย เธอส่งเสียน้องชายให้เล่าเรียน, เธอคือเสาหลักของครอบครัว ในตัวมีศักดิ์ศรี แม้ใครจะมองเธอไม่ดีแต่ฉันคนนี้ก็เข้าใจ” บทเพลง “น.ส.สมสมัย” ผลงานจากแร็พเปอร์ชื่อดัง ปู่จ๋านลองไมค์ บอกเล่าเรื่องราวของ“โสเภณี” หรือหญิงขายบริการทางเพศ “แม้สังคมจะมองไม่ดี เป็นอาชีพไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี” แต่มันก็เป็นความจำเป็นของคนอีกกลุ่มในการหารายได้เลี้ยงครอบครัว
บทเพลงยังเล่าถึงหญิงที่มีการศึกษาน้อย ไม่อาจคาดหวังถึงอาชีพที่มีหน้ามีตาอย่างรับราชการ ไปทำงานโรงงานก็มีรายได้เพียงประทังชีวิต สุดท้ายเมื่อต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อล้มป่วย มีน้องต้องเรียนหนังสือ เธอจึงเสียสละมาเดินบนเส้นทางที่สังคมประณาม “เรื่องเหล่านี้แม้สังคมไทยจะไม่ยอมรับแต่ก็ถูกเล่าคู่ขนานกันมากับความคิดที่ว่าโสเภณีคือหญิงชั่ว เป็นอาชีพผิดกฎหมาย ต้องจับกุมปราบปราม” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ที่งานเสวนา “จับ ไม่จับ....หรือยกเลิกเอาผิดคนทำงานบริการทางเพศ” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ อันเป็นเครือข่ายคนทำงานด้านสิทธิของพนักงานบริการทางเพศ เมื่อเร็วๆ นี้ จันทวิภา อภิสุข ประธานมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวว่า ทำงานด้านสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศมา 30 ปี ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแม้จะผ่านมา 14 รัฐบาล คือรัฐไทยยังเน้นจับกุมผู้ค้าประเวณี แต่กับ
ผู้แสวงหาประโยชน์จากการขายบริการทางเพศแทบไม่พบการถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ ชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ยกตัวอย่างประเทศ นิวซีแลนด์ ที่ยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณีโดยสมัครใจ “เปลี่ยนนโยบายจากกวาดล้างจับกุมสู่ควบคุมและคุ้มครอง” เช่น จำกัดอายุขั้นต่ำของผู้ขาย ดูแลไม่ให้ลูกค้าใช้บริการแล้วไม่จ่ายเงิน สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเมื่อเกิดความรุนแรงได้ “ถึงกระนั้นก็ไม่ทำให้จำนวนผู้ขายบริการทางเพศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” อย่างที่สังคมกังวลในช่วงก่อนหน้า
“แค่เราขึ้นหัวข้อเรียกร้องว่าขอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ผู้คนจะตื่นตระหนกกันมาก จะเกิดปรากฏการณ์ประเทศไทยจะมีคนลุกขึ้นมาขายตัวกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ความเป็นจริงมันไม่จริง มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณตกใจกัน มันแค่จะกลับด้านคือคุณจะมองเห็นคนที่คุณไม่เคยเห็นมากกว่า คือเขามีตัวตนอยู่แล้วแต่ไม่ได้มาเปิดเผย เพราะอาจจะถูกล่อซื้อหรือถูกจับ” ชัชลาวัณย์ กล่าว
มุมมองจากตัวแทนพนักงานบริการ ไหม จันทร์ตา ตั้งข้อสังเกตว่า หลายครั้งที่มีการจับกุมสถานบริการในข้อหาค้ามนุษย์และค้าประเวณีเด็ก มักจะมีข่าวประเด็น “ส่วย” ที่เจ้าของสถานบริการต้องจ่ายให้กับผู้ถืออำนาจรัฐ ไม่ว่าเงิน สิ่งของ หรือการใช้บริการฟรีในโอกาสต่างๆ ดังนั้นการยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณีจึงเป็นการ “เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส” เมื่อพนักงานบริการเข้าถึงสิทธิ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ย่อมไปช่วยเหลือสังคมได้
“สังคมอาจจะกลัวว่าถ้าไม่มีกฎหมายเอาผิดฐานค้าประเวณีแล้วเด็กจะเข้ามาทำงานเยอะไหม? อยากจะบอกว่าถึงแม้ไม่มีกฎหมายนี้แต่ก็มีกฎหมายอีกหลายฉบับคุ้มครองดูแลไม่ให้เด็กเข้ามาทำงาน พนักงานบริการในฐานะที่เป็นแม่เป็นผู้นำครอบครัวก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่เด็กจะเข้ามาทำงานในสถานบริการ ถ้าพนักงานบริการเป็นแรงงาน สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เด็กเข้ามาทำงานในสถานบริการได้” ไหม ระบุ
อีกด้านหนึ่ง นัยนา สุภาพึ่ง นักวิชาการจากมูลนิธิธีรนาถอักษร กล่าวถึงอุปสรรคที่ทำให้ไม่อาจยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณีโดยสมัครใจและอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั้งที่มีกฎหมายอื่นๆ สามารถเอาผิดผู้แสวงหาประโยชน์กับการค้ามนุษย์รวมถึงการซื้อบริการทางเพศกับเด็กและเยาวชนได้ เนื่องจาก “สังคมไทยยังมีทัศนคติบางอย่างที่ครอบงำไปทุกวงการ” รวมถึงผู้ออกกฎหมายและนักวิชาการด้วย แม้ประเด็นนี้จะถูกพูดถึงมานับสิบปีแล้วก็ตาม
“คำถามหนึ่งที่มีมาตลอด คือเมื่อไม่มีกฎหมายที่จะลงโทษคนที่ไปขายบริการ โตขึ้นหนูอยากเป็นครู เป็นพยาบาล ต่อไปโตขึ้นหนูอยากเป็นคนขายบริการ พอแบบนี้คนที่นั่งฟังซึ่งถูกหล่อหลอมมาด้วยค่านิยมความเป็นหญิงดี ก็อึ้งและไปไม่เป็น แล้วเราก็ไม่ตั้งคำถามว่าสังคมมันมีความเป็นมาและถูกครอบด้วยอะไรอย่างไร คือมันไม่มีการรื้อและทำความเข้าใจกับตัวเอง มุมมองจากคนในสังคมที่สำคัญคือเวลาฟังคนทำงานแล้วอึ้ง นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจทั้งในสภา ในกระทรวง เขาถูกพันธนาการด้วยความคิดที่ติดยึดอะไรอยู่” นัยนา ให้ความเห็น
ขณะที่ อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า มีหลายพื้นที่ที่รับรู้กันมานานว่ามีการขายบริการทางเพศ เช่น เยาวราช วงเวียนใหญ่ ราชดำเนิน ภาพเหล่านี้ในปัจจุบันก็ยังคงพบเห็นได้อยู่ “การไปกับคนที่ไม่รู้จักอาจถูกกระทำความรุนแรงได้” เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ “คนเหล่านี้จะไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เลย เหตุเพราะสังคมไทยขาดการมองด้วยการใช้ฐานคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มักไปมองด้วยเรื่องศีลธรรมอันดีงาม” เอาคุณค่าเอามาตรฐานบางอย่างของสังคมมาจับ
ซึ่งจากที่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวอยู่บ้าง พบว่า “อย่าคิดว่าการศึกษาดี – หน้าที่การงานดีแล้วจะไม่มีโอกาสต้องมาเดินทางสายนี้” หลายคนทำงานเป็นครูบาอาจารย์ เป็นพนักงานธนาคาร “แต่ปัญหาที่ต้องเผชิญ เช่น พ่อแม่อายุมาก ติดเตียง ต่อให้ทำงานดีก็ไม่พอจ่าย” ประเทศไทยยังไม่มีรัฐสวัสดิการที่ดีที่จะดูแลผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ ยังไม่มีสวัสดิการที่เมื่อคนพ้นวัยทำงานแล้วจะได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ
อนึ่ง “ระยะหลังๆ ยังพบผู้สูงอายุเข้ามาขายบริการทางเพศเพิ่มขึ้นด้วย” เป็นเพราะไม่มีรายได้เพียงพอที่จะดำรงชีพหรือไม่? ทั้งที่แต่ก่อนหลายคนอาจไม่ได้ประกอบอาชีพนี้เลยก็ได้ นอกจากนี้ คณะทำงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ (UN) เคยเสนอแนะไว้ว่า “งานบริการทางเพศก็เป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ของประเทศไทย” แล้วเหตุใดต้องมีความผิด?
“ในขณะที่เรามองว่ามันดำรงอยู่และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเหล่านี้ แต่เรากลับรังเกียจเดียดฉันท์คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานและเป็นส่วนหนึ่งให้ประเทศไทยมีรายได้ อยากเห็นสังคมไทยโอบกอดคนทุกคน อยากให้คนไทยมองคนที่คุณค่าของความเป็นคน ไม่มองที่ภายนอก ไม่ยอมให้อคติทัศนคติต่างๆ ที่เป็นการตีตราเข้ามาครอบงำ เรารังเกียจคนที่ประกอบอาชีพนี้ ขณะเดียวกันเรากลับยอมรับรายได้จากการประกอบอาชีพของคนกลุ่มนี้ ชุมชนรังเกียจที่รู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่กลับยินดีที่ครอบครัวมีบ้านหลังใหญ่ มีเครื่องอำนวยความสะดวก” อังคณา ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี