ผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ อาจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนา “ความเหลื่อมล้ำในมิติผังเมือง” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่า ณ ปัจจุบันเราอยู่ในห้วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก นั่นคือ “สังคมมนุษย์มีความเป็นเมืองมากขึ้น” โดยในปี 2593 องค์การสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่าประชากรโลกร้อยละ 70 จะอาศัยอยู่ในเมือง เพิ่มจากวันนี้ที่ประชากรโลกร้อยละ 50 อาศัยอยู่ในเมือง และสังคมเมืองจะเติบโตมากในทวีปเอเชียกับแอฟริกา
เมื่อมาดูความเหลื่อมล้ำ อาจแบ่งได้หลายระดับ เช่น ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนอยู่ในเมืองด้วยกัน ดังภาพที่หลายคนมักนำมาประกอบการอธิบายเสมอคือภาพถ่าย “borders the much more affluent Morumbi” ผลงานของ Tuca Vieira ที่บันทึกความแตกต่างอย่างสุดขั้วในเมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล (Sao Paulo, Brazil) ซึ่ง “ฝั่งหนึ่งเป็นชุมชนแออัด (สลัม) แต่อีกฝั่งเป็นคอนโดมิเนียมสุดหรู มีสนามเทนนิสและสระว่ายน้ำ โดยมีกำแพงกั้นกลาง” แน่นอนว่ามันสะท้อนฐานะทางที่แตกต่างกันมากของผู้คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทั้งสองด้วย
ภาพต่อมาที่หลายคนคุ้นเคยคือ “Gated Community” หรือหมู่บ้านราคาแพงที่มีการกั้นกำแพงและรั้วรอบขอบชิด ติดตั้งลวดหนามบนกำแพงรั้ว มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจคนเข้า-ออก เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม โครงการอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้มักโฆษณาว่าเป็น “ชุมชนของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง” ซึ่งในอีกแง่หนึ่งย่อมสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะนักพัฒนาโครงการคงมองเห็นลูกค้ากลุ่มที่กลัวเกรงภยันตรายจากภายนอก
หมู่บ้านประเภท Gated Community มักตั้งอยู่ในย่านชานเมือง “ผู้ที่มีกำลังทรัพย์ซื้อบ้านได้ต้องเป็นระดับชนชั้นกลางขึ้นไป” แต่เมื่อดูในภาพรวมแล้ว “ที่ตั้งโครงการหมู่บ้านเหล่านี้ไม่ใช่เขตที่มีประชากรหนาแน่น รัฐจึงไม่ลงทุนระบบขนส่งมวลชน ทำแต่เพียงการก่อสร้างถนนและทางด่วนเท่านั้น”ผลที่ตามมาคือ “ทุกบ้านต้องมีรถยนต์” เรื่องนี้จึงเป็นคำถามถึง “ความเป็นธรรมในการใช้งบประมาณ” ได้เช่นกัน เพราะรถยนต์ส่วนบุคคลปล่อยมลพิษและใช้พื้นที่ถนนมากกว่าระบบขนส่งมวลชน จักรยานหรือเดิน
ความเหลื่อมล้ำในเมืองยังอาจแสดงออกได้ตามนิยาม “ไม่ใช่ทุกคนที่จะหาความสุขจากเมืองได้” ประเด็นนี้ อาจารย์นิรมล ยกตัวอย่าง กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่ง “พื้นที่วิวสวยๆ ริมแม่น้ำ มักเป็นพื้นที่หรูหราที่ภาคเอกชนพัฒนาไว้ต้อนรับแขกของตน” หรือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปคือ “สะพานลอย” อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง “การยอมจำนนต่อรถยนต์” รถยนต์ต้องวิ่งได้เร็วที่สุด จึงต้องสร้างสะพานลอยไว้ให้คนข้าม “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้สะพานลอยได้” เช่น คนชรา คนพิการ คำถามคือแล้วคนกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตในเมืองอย่างไร?
หรือ 2.ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมือง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเหตุการณ์ “น้ำท่วมใหญ่ปี 2554” ในครั้งนั้น “ที่ไหนจะท่วมก็ได้ยกเว้นกรุงเทพฯ” ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นมวลน้ำไหลเบี่ยงออกไปทางซ้ายและขวา เช่นเดียวกัน “ชนบทท่วมได้แต่เมืองห้ามท่วม” ในเวลานั้นจะมี “ความตึงเครียด” เกิดขึ้นในหลายจุดระหว่าง “พื้นที่แห้ง-ท่วม” ทั้งกรุงเทพฯ กับจังหวัดอื่นๆ และในจังหวัดเดียวกันแต่คนละชุมชน รวมถึง “การขนส่งระบบราง” ที่กรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นหลายสาย แต่จังหวัดอื่นๆ ยังไม่มี ล่าสุดมีเพียง ขอนแก่น ที่เพิ่งริเริ่มโครงการ
“แล้วกรุงเทพฯ เหลื่อมล้ำแค่ไหน?” อาจารย์นิรมลยกตัวอย่างที่น่าสนใจ อาทิ “พื้นที่สีเขียว” ข้อมูลจาก กรุงเทพมหานคร (กทม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดูแลกรุงเทพฯ ระบุว่ามีพื้นที่สีเขียวราว 8,000 แห่ง แต่เมื่อดูการเก็บข้อมูลก็พบว่า “กทม. นับสวนกลางถนน สวนในหมู่บ้าน สนามกอล์ฟ รวมถึงพื้นที่เกษตรของประชาชนเป็นพื้นที่สีเขียวด้วย” ในขณะที่ “สวนสาธารณะ” อันเป็นพื้นที่พักผ่อนของประชาชนจริงๆ มีเพียงไม่กี่แห่ง เช่น สวนลุมพินี สวนรถไฟ สวนจตุจักร ที่น่าสนใจคือ “ในย่านชานเมืองไม่มีสวนสาธารณะ” แม้แต่แห่งเดียว
ซึ่งเรื่องสุขภาพนั้น “การไม่อยากแก่แล้วป่วยต้องสั่งสมทุนด้านสุขภาพตั้งแต่ก่อนแก่ แต่ผู้อาศัยใน กทม. ทำได้ยาก” จากข้อจำกัดด้านพื้นที่ออกกำลังกาย ยังไม่นับ “การผจญภัยเมื่อต้องเดินบนทางเท้า” เช่น เจอน้ำหยดจากท่อระบายน้ำด้านบนอาคาร น้ำที่กระฉอกขึ้นมาจากพื้น หรือกองขยะที่ผู้คนวางทิ้งไว้เพราะถังขยะถูกนำออกไปเนื่องจากกลัวคนวางระเบิด “แล้วใครจะอยากเดิน” แม้การเดินจะเป็นการออกกำลังกายไปในตัวก็ตาม “คนมีเงินคงเลือกชีวิตได้” เช่น จ่ายค่าสมาชิกฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย จ่ายค่ารถไฟฟ้าเพื่อหนีอากาศร้อนและเดินทางได้รวดเร็ว
“ตัวเลขที่ UDDC (ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) คำนวณออกมา พื้นที่สวนสาธารณะที่เข้าไปใช้งานได้จริงของ กทม. ต่อคนไม่ถึง 1 ตารางเมตร ขณะที่สถิติของ WHO (องค์การอนามัยโลก) ระบุว่าที่เวียนนา (เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย) 20 ตารางเมตรต่อคน สิงคโปร์ใกล้ๆ บ้านเรา เขามี 66 ตารางเมตรต่อคน มาตรฐาน WHO ต่ำกว่า 9 ตารางเมตรต่อคนก็แย่แล้ว แต่ห้างสรรพสินค้าใน กทม. เยอะ 700 กว่าแห่ง เข้าถึงได้ ที่ไหนก็มี” อาจารย์นิรมล กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมืองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ เนื่องจากเป็นเกาะเล็กๆ มีพื้นที่จำกัด รัฐบาลที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดความร้อนภายในเมือง “ประมาณปี 2543 ได้ออกกฎหมายกำหนดให้อาคารทุกประเภทต้องจัดพื้นที่สีเขียว” เช่น บนหลังคา บนกำแพง จนปัจจุบันสามารถ “ลดอุณหภูมิ” ลงได้ถึง 4 องศาเซลเซียส “คนสิงคโปร์นั้น เกิด-แก่-เจ็บไม่นานแล้วก็ตาย” เพราะเวลาในชีวิตส่วนใหญ่สุขภาพดี มีช่วงที่เจ็บป่วยเพียงสั้นๆ ก่อนจะเสียชีวิต
“ต่างจากคนชราในประเทศไทย” ที่ป่วยนานกว่าจะจากโลกนี้ไป “เก็บเงินมามากมายทั้งชีวิตเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยตอนแก่” แต่คงไม่มีใครอยากเดินตราบเท่าที่อากาศในเมืองยังร้อน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่หัวใจอาจไม่แข็งแรง อากาศร้อนหัวใจเต้นเร็วขึ้นอาจเป็นลมแดดได้ง่าย “สิงคโปร์ออกแบบเมืองเพื่อจูงใจให้คนออกมาเดิน” เช่น ทางเดินทางที่มีร่มครึ้ม ปัจจุบันมีทางเท้าที่เอื้อต่อการเดินแล้ว 100 กิโลเมตร และจะเพิ่มเป็น 300 กิโลเมตร ในอนาคต
“เราเคยได้ยินว่าออกกฎหมายแบบนี้นักลงทุนอาจไม่ชอบ นักพัฒนาอาจไม่ชอบเพราะทำยาก ต้องลงทุนมากกว่าปกติ แต่สิงคโปร์เขาศึกษามา เห็นว่าอาคารสีเขียวคนอยู่อาศัยเขาชอบอยู่แล้ว แต่นายหน้าอสังหาฯ ก็ชอบด้วย เพราะมันเพิ่มมูลค่าให้กับย่านของเขา มันขายได้ราคามากขึ้น” อาจารย์นิรมล ฝากตัวอย่างชวนคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี