ผลจากการวิจัย ประชาสังคมกับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นเพื่อพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ
พบสังคมมองว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติธรรมดา คนโกงยังเป็นที่ยอมรับและนับหน้าถือตาในสังคม และเห็นพ้องต้องกันว่าแนวทางการป้องกันการทุจริตจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการตรวจสอบ เฝ้าระวัง ชี้เบาะแส มีบทลงโทษทางกฎหมายที่เฉพาะพิเศษมากขึ้น ตลอดจนมีมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหา คือ ปลูกฝังจิตสำนึกต้านโกงให้กับเยาวชนและคนไทยทุกคน
จากข้อค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจังและยังยอมรับนับถือคนโกง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายอย่างตั้งแต่มาตรฐานทางศีลธรรมที่ต่ำของข้าราชการแต่ละคน ความบกพร่องของระบบการบริหาร และจากแรงกดดันและข้อจำกัดที่สังคมกำหนดต่อเจ้าหน้าที่ แต่ความพยายามที่จะปรับปรุงมาตรฐานคุณธรรมของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวจะไม่ตรงกับรากเหง้าของปัญหา ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ต้องมีการขับเคลื่อนในสังคมในวงกว้าง ต้องเพิ่มจิตสำนึกของประชาชนต่อปัญหานี้ จนกระทั่งเป็นความคิดที่ได้รับความนิยมและกลายเป็นแรงกดดันให้สังคมและรัฐบาลแก้ไขปัญหาร่วมกัน (Phongpaichit and Piriyarangsan, 1996: 179)
รูปแบบการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและในสังคมไทยนั้นไม่แตกต่างกันในเชิงเนื้อหา ข้อค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าการทุจริตมีรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชันที่เหมือนกันทั้งในเมืองและในชนบท ซึ่งเข้าใจได้ว่าสังคมไทยยุคใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มีการเติบโตของอุตสาหกรรมและการขยายของเมืองอย่างรวดเร็วได้สร้างศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ซึ่งผลักดันบทบาทของกระบวนการทางการเมือง เกิดตัวละครใหม่ในกระบวนการธุรกิจ สมาคมธุรกิจในเมืองใหญ่และต่างจังหวัดได้ชื่อว่าเป็นของเจ้าพ่อหรือมาเฟีย กระบวนการที่ขับเคลื่อนนักธุรกิจในเขตเมืองสมัยใหม่ให้มีบทบาทในกระบวนการทางการเมืองมีความคล้ายกันในทุกที่ นักธุรกิจกลุ่มนี้ (เจ้าพ่อหรือมาเฟีย) จะผูกสัมพันธ์ทางการเมืองและมีอำนาจทางการเมืองเพื่อปกป้องและหาผลประโยชน์ของตน (Phongpaichit and Piriyarangsan, 1996: 10-14)
จากการศึกษาและวิจัยการทุจริตคอร์รัปชันในจังหวัดนครราชสีมานั้น ภาคประชาสังคมได้ให้ความเห็นว่า การทุจริตและคอร์รัปชันในจังหวัดนครราชสีมายังไม่ลดลง ยังมีการทุจริตในโครงการต่างๆ มีความไม่เป็นธรรมและถูกกลั่นแกล้งในการแต่งตั้งโยกย้าย พ่อแม่ผู้ปกครองและนักเรียนขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการการศึกษาของสถานศึกษาของชุมชน และภาคประชาสังคมยังไม่ได้รับการเปิดโอกาสให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การดำเนินการตามนโยบาย และการตรวจสอบผลการดำเนินงาน
ข้อคิดเห็นของภาคประชาสังคมแสดงให้เห็นว่าระบบการควบคุมตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันและส่งเสริมธรรมาภิบาลของภาครัฐไม่ประสบผลสำเร็จ ยังมีช่องว่าทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง บทบาทของภาคประชาสังคมนครราชสีมา จึงต้องมีส่วนร่วมในการรับรู้การดำเนินงานของภาครัฐต่างๆ ต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อการเฝ้าระวังและตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง ต้องเปิดปมปัญหาและค้นหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Ludpa (2016) ว่าต้องมีการตรวจสอบ เพื่อให้เป็นกลางและเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง และต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และต้องมีบทบาทในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและจิตสำนึกต้านโกง
ข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับแนวคิดในการแก้ปัญหาโดยการบังคับใช้มาตรการที่เป็นไปได้ผ่านทาง 3 ช่องหลัก ได้แก่ การควบคุมทางการเมือง การควบคุมทางการบริหาร และการควบคุมทางสาธารณะ (Phongpaichit and Piriyarangsan, 1996: 179) ซึ่งภาคประชาสังคมสามารถเข้ามามีบทบาทได้ทุกส่วนเพื่อร่วมตรวจสอบและส่งเสริมให้มีธรรมาภิบาลมากขึ้นในสังคม บทบาทของภาคประชาสังคมยังได้รับการยืนยันจาก Rose-Ackerman (1999) ว่าสามารถใช้เป็นทางอ้อมในการควบคุมการทุจริตได้โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนและองค์กรต่างๆ สามารถร้องเรียนเกี่ยวกับรัฐบาลและการให้บริการที่ไม่ดี รัฐต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่ตนทำอยู่ สื่อมวลชนและสาธารณะสามารถร้องเรียนได้
ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากงานวิจัย ปรีชา อุยตระกูล และคณะ (2560) ประชาสังคมกับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นเพื่อพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิมพ์พจี บรรจงปรุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี