การเมืองไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้งกับการชุมนุมใหญ่เรียกร้อง 3 ข้อหลัก “หยุดคุกคามประชาชน-ร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย-ยุบสภา” เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2563 ที่ผ่านมา จากเดิมช่วงต้นปี 2563 ที่ก่อตัวกันเพียงในหมู่คนรุ่นใหม่ที่เป็นนักเรียน-นักศึกษา และบางช่วงมีสะดุดไปบ้างจากการนำเสนอบางข้อเรียกร้องอันเป็นประเด็นอ่อนไหวในสังคมไทย แต่ท้ายที่สุดการชุมนุมได้ถูกยกระดับจนมีแนวร่วมเพิ่มขึ้นหลากช่วงวัยหลายอาชีพ จนสื่อต่างประเทศตีข่าวว่านี่คือการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่การรัฐประหารโดยกองทัพในปี 2557
“ผู้ใช้แรงงาน” ก็เป็นอีกภาคส่วนที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งก่อนที่จะถึงช่วงเย็นและค่ำที่เห็นภาพผู้คนเนืองแน่นเต็มถนนราชดำเนิน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในช่วงเช้าของวันดังกล่าว ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน14 ตุลาคม 2516 สี่แยกคอกวัว มีการจัดเสวนาเรื่อง “ทำไมขบวนการแรงงานต้องร่วมปลดแอก” ชวนตัวแทนแรงงานมาบอกเล่าเรื่องราวผลกระทบจากการปกครองยุครัฐบาลทหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ผู้นำยังได้อยู่ต่อมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน
ธนพร วิจันทร์ ตัวแทนเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นรัฐบาลเผด็จการนั้นการชุมนุมของเครือข่ายแรงงานถูกจับตามอง เช่น มีตำรวจ-ทหาร เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งต่างจากช่วงก่อนหน้าที่เป็นการเจรจาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างหรือกับหน่วยงานรัฐ รวมถึงมี พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ขณะที่รัฐบาลปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เพิ่งลาออกไปเมื่อไม่นานนี้ อย่าง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เคยกล่าวเมื่อช่วงเดือนก.พ. 2563 ว่าให้แรงงานที่ตกงานไปค้นหางานทางอินเตอร์เนต สะท้อนความไม่เข้าใจวิถีชีวิตแรงงาน
นอกจากนี้ เมื่อถึงช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 และรัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆเพื่อสกัดการระบาดซึ่งส่งผลให้มีคนว่างงานจำนวนมาก แรงงานจะไปขอรับสิทธิชดเชยจากกองทุนประกันสังคมก็ยังลำบากเพราะมีเงื่อนไขว่านายจ้างต้องเป็นผู้รับรองว่าคนคนนี้เป็นลูกจ้างของคนจริง รวมถึง พรรคพลังประชารัฐแกนนำรัฐบาลปัจจุบันที่ทำให้ “บิ๊กตู่-ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา เปลี่ยนจากนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทหารเป็นนายกฯ จากพรรคการเมือง เคยหาเสียง “ค่าจ้างขั้นต่ำ425 บาท/วัน” แต่วันนี้ยัง “เงียบกริบ” ไม่มีความคืบหน้า
“ทำไมเราถึงบอกว่าวันนี้เราต้องมาร่วมปลดแอก วันนี้เป็นเวทีที่เรามาพูดถึงขบวนการแรงงาน นักสหภาพแรงงานอาจจะต้องยึดหลักการนี้แล้วก็ออกมาร่วมกันในการที่จะทำให้แรงงานได้มีสิทธิ์มีเสียง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วก็ในสังคมด้วย ทั้งพ่อแม่พวกเราที่อยู่ในภาคเกษตร ลูกหลานที่เป็นนักศึกษาที่จะจบการศึกษาตอนนี้ก็ตกงาน ไม่มีงานทำ พวกเราที่อยู่ในโรงงานก็ตกงานกัน แล้วสุดท้ายนายทุนก็ใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เข้ามา การจ้างงานมันก็จะไม่มีแล้วตอนนี้ แล้วสุดท้ายเราจะไปในทางไหน” ธนพร กล่าว
ขณะที่ เซีย จำปาทอง ผู้แทนเครือข่ายแรงงานสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนัง กล่าวว่า ย้อนไปเมื่อเดือน พ.ค. 2563 ที่ จ.ชลบุรี ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการล็อกดาวน์ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปรอรับของบริจาคจากโบสถ์นอร์เวย์ แม้จะเป็นช่วงที่ประกาศเคอร์ฟิว ห้าม
ออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 23.00-04.00 น. แต่ผู้คนก็มารอตั้งแต่เวลา 01.00 น. เพื่อรอการแจกจ่ายที่จะเริ่มในเวลา 09.00 น. “ยอมเสี่ยงติดโรคและทำผิดกฎหมายเพราะรอการเยียวยาจากรัฐบาลไม่ไหว” ทุกข์จากการไม่มีอะไรจะกินมันทรมานยิ่งกว่า
“อยากให้ดูสถานการณ์ (โควิด-19) ทำพิษ สิ้นปีนี้ตกงาน 3.3 ล้านคน ถ้าเกิดไม่สามารถแก้ปัญหาได้จะมีคนตกงาน 7-8 ล้านคน อันนี้เป็นข้อมูลส่วนของสมาคมนายจ้าง ซึ่งเขาออกมาแถลงว่าในอนาคตถ้าเป็นแบบนี้จะมีคนตกงานจำนวนมาก ผมพูดถึงสิ่งทอ (Garment) สูญกว่า 3 หมื่นล้าน ในช่วงวิกฤติแบบนี้ ต่ำสุดในรอบ 60 ปี และในอนาคตจะตกลงอีกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้ารัฐบาลไม่สร้างความเชื่อมั่น เราดูแล้วรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ มีแต่ว่าจะสร้างปัญหาอะไรให้เกิดขึ้นอีก” เซีย ระบุ
เช่นเดียวกับ ศรีไพร นนทรีย์ ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ที่เล่าว่า ในช่วงรัฐบาลทหาร คสช. แกนนำเครือข่ายแรงงานมักถูกทหารขอความร่วมมือแกมข่มขู่อยู่เสมอว่าอย่านำปัญหาเข้ากรุงเทพฯ ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงถูกดำเนินคดีในข้อหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงบ้าง พ.ร.บ.ชุมนุมฯ บ้าง “ยังไม่ต้องนับว่าหลังรัฐประหาร 2557 เศรษฐกิจแย่ลงมาโดยตลอด สวนทางกับทีมเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น” พร้อมกับย้ำว่าในขณะที่ปัจจุบันรัฐบาลอ้างเรื่องไวรัสโควิด-19 แต่ความจริงคือเศรษฐกิจไม่ดีมาก่อนแล้ว
ซ้ำร้าย “คนระดับฐานรากยังถูกโจมตีจากคนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เสมอ” เช่น ด่าทอเวลามีข่าวคนระดับฐานรากต้องกู้หนี้ยืมสินบ้าง หรือข่าวผู้ใช้แรงงานออกมาเรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำบ้าง ทั้งที่หลายปีผ่านไปค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับราคาสินค้าต่างๆ ผู้ใช้แรงงานจึงต้องออกมาร่วมขับเคลื่อนกับกลุ่มอื่นๆ และผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนจน ถือเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีฝีมือดีกว่านี้เข้ามาบริหารประเทศ คนจนจะได้ลืมตาอ้าปาก อีกทั้งนโยบายค่าจ้างที่พรรคพลังประชารัฐเคยให้สัญญา ไม่รู้จะทำได้จริงหรือไม่
“นโยบายของตัวเองมีอยู่แล้วทำให้ได้ก่อน เพราะไม่ใช่แค่ 400 หรือ 425 บาท คุณสัญญาว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรีมาเงินเดือนต้องสตาร์ทไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท อาชีวะ 18,000 บาท แต่พอได้เป็นรัฐบาลเข้าจริงๆ กลับคำบอกว่าคนที่จะได้ค่าจ้าง 400 บาทขึ้นไป จะต้องเข้าไปพัฒนาฝีมือแรงงาน แล้วก็จะได้ค่าจ้างตามพัฒนาฝีมือแรงงาน
ถามหน่อยลูกจ้างที่อยู่ในโรงงานเรียนจบอาชีวะมากมาย ใครได้เงินเดือนตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำหนดบ้าง? แทบจะไม่มีเลย มันจะต้องผ่านการอบรม นายจ้างเลือกให้พวกเขาไปอบรมไหม? ไม่มี แม้แต่ในโรงงานยานยนต์ที่ส่วนมากจบอาชีวะกันมาทั้งนั้นก็ไม่ได้ค่าจ้างแบบนี้ อันนี้คือสิ่งที่เรารู้สึกว่ารัฐบาลนี้มาทำอะไรไม่ได้เลย โกหกพกลมไปวันๆ แล้วก็ด่าแต่ประชาชน” ศรีไพร กล่าว
ทั้งหมดนี้คือเสียงสะท้อนของตัวแทนผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะประเด็นความลำบากของคนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งไม่ได้เป็นการกล่าวลอยๆ เพราะแม้แต่ ธนาคารโลก (World Bank) ยังออกรายงาน “จับชีพจรความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย” ช่วงต้นเดือนมี.ค. 2563 ระบุว่า ข้อมูลปี 2558-2561 พบคนไทยยากจนลง อีกทั้งภาวะความยากจนที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคใน 61 จังหวัด จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
นี่คือโจทย์ใหญ่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหากยังไม่สามารถทำให้ประชาชนคนฐานรากรู้สึกเชื่อมั่นว่าจะกินดีอยู่ดีขึ้นกว่านี้...เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาลคงยากที่จะแผ่วลง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี