“สกู๊ปแนวหน้า” ยังคงอยู่ที่งานเสวนา “จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 : จุดติดการเมืองพญาอินทรี X จุดพลิกระเบียบการเมืองโลก” ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) หลังจากตอนที่แล้วกล่าวถึงระบบเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาและปัจจัยที่ส่งผลต่อชัยชนะไม่ว่าของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต(เลือกตั้งมะกัน 2020(1) หลากปัจจัยชี้ขาดชัยชนะ : หน้า 5 ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 29 ต.ค. 2563) ในตอนนี้จะว่าด้วยคำถามที่ว่าหากทรัมป์ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นโยบายต่างประเทศจะเปลี่ยนหรือไม่?
รศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “นโยบายกดดันประเทศจีนคงไม่เปลี่ยน เพราะสังคมชาวอเมริกันมีความหวั่นเกรงการผงาดขึ้นของจีนแล้ว” เช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีการสอบถามความคิดเห็นบรรดาผู้นำทางความคิดในสหรัฐฯ ทั้งที่เป็นนักวิจัยในสถาบันคลังสมอง อาจารย์มหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง และนักธุรกิจชั้นนำ
พบว่า “ร้อยละ 72 ของผู้นำทางความคิดในสังคมอเมริกันที่ตอบแบบสอบถาม สนับสนุนมาตรการกีดกัน หัวเว่ย (Huawei) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน” ดังนั้นสหรัฐฯ ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้จีนลอกเลียนเทคโนโลยีและต้องเอาชนะจีนในด้านนี้ให้ได้ และมีครั้งหนึ่งที่ไบเดนเคยกล่าวว่า win the competition for the future against China หรือชนะการแข่งขันกับจีนเพื่ออนาคต
เช่นเดียวกับ “สงครามการค้า (Trade War)” ที่ทรัมป์ใช้กับจีนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงแม้ว่าไบเดนจะได้เป็น ปธน.ก็เชื่อว่าจะยังคงดำเนินมาตรการนี้ต่อไป แม้สหรัฐฯ จะมีการเจรจากับจีนมากขึ้นกว่ายุคของทรัมป์ก็ตาม เพราะในการหาเสียงครั้งหนึ่งของไบเดน มีการพูดถึงจีนว่าเป็นโจรที่จ้องแต่จะลอกเลียนแบบเทคโนโลยีหรือทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ท่าทีดังกล่าวสะท้อนความรู้สึกของชาวอเมริกันที่มองว่าตนเองเสียเปรียบด้านการค้ากับจีนและจะไม่ยอมเสียเปรียบด้านเทคโนโลยีอีก
“ไบเดนยังเคยวิจารณ์ทรัมป์ว่าที่ไปตกลงกับจีนไว้ ที่จีนรับปากว่าจะนำเข้าสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้น จีนก็ทำไม่ได้ตามที่บอกไว้ ฉะนั้นไบเดนก็ตราหน้าทรัมป์เลยว่าเป็นข้อตกลงทางการค้าที่ว่างเปล่า ไม่ได้ผลอะไร ก็หมายความว่าเขาจะต้องกดดันจีนต่อไป แต่แน่นอนวาทศิลป์ในการพูดเขาคงไม่ Aggressive (แข็งกร้าว) แบบทรัมป์ แต่ด้วยโครงสร้างการค้าของอเมริกาที่ขาดดุลกับจีนอย่างมาก อย่างไรอเมริกาก็ต้องพยายามแก้ตรงนี้”อาจารย์กิตติ ระบุ
รวมถึงนโยบายด้าน “ความมั่นคง (Security)” ขอให้จับตาดูความเคลื่อนไหวใน “ทะเลจีนใต้” ซึ่งในความเป็นจริงสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ยุค บารัค โอบามา ปธน.จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมี ฮิลลารี คลินตัน เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ด้วยเห็นว่า “หากสหรัฐฯ มีส่วนร่วมแก้ปัญหาในทะเลจีนใต้อย่างสันติวิธี ก็จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ ด้วย” และแม้ต่อมาจะเป็นยุคของทรัมป์จากพรรครีพับลิกันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ดังนั้นแม้อำนาจการนำจะกลับมาอยู่ที่เดโมแครตอีกครั้งหากไบเดนชนะเลือกตั้ง สหรัฐฯ ก็จะยังคงบทบาทต่อไป
อย่างไรก็ตาม “คาดว่าจะมี 3 นโยบายที่ไบเดนจะเปลี่ยนแปลงจากที่ทรัมป์ดำเนินการไว้” ได้แก่ 1.ไต้หวัน ในยุคของทรัมป์นั้น มีทั้งการโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับ ไช่อิง เหวิน ที่ชนะการเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวัน และการขายอาวุธอานุภาพสูงให้กับกองทัพไต้หวัน ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้สำหรับจีนถือว่าร้ายแรงมาก หากไบเดนได้เป็น ปธน.สหรัฐฯ เชื่อว่าของที่ตกลงซื้อ-ขายไปแล้วก็ดำเนินต่อไป แต่คงจะไม่ขายเพิ่มให้อีก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าพรรคใดล้วนมีพันธะต้องสนับสนุนไต้หวัน
2.เกาหลีเหนือ ที่ผ่านมาจะเห็นทรัมป์เดินหน้าเจรจาสันติภาพกับ คึม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง แต่อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้อะไรมากนัก ผู้นำทั้ง 2 ชาติ ยังมีวิวาทะกันเช่นเดิม และฝ่ายเกาหลีเหนือก็ไม่ได้ให้ความร่วมมืออะไรมากนัก ดังนั้นหากไบเดนได้เป็น ปธน.สหรัฐฯ แทนทรัมป์ นโยบายต่อเกาหลีเหนือจะกลับไปเหมือนสมัย ปธน.โอบามา คือเน้นป้องปราม และมีการทูตเพียงบางครั้งบางคราว
และ 3.การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาจะเห็นทรัมป์ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ โจมตีจีนอย่างต่อเนื่อง เช่น เรียกโรคระบาดนี้ว่า Chinese Virus หรือไวรัสจากจีน และเรียกร้องให้จีนต้องรับผิดชอบวิกฤติครั้งนี้ แต่เชื่อว่าหากเป็นไบเดน ท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 น่าจะลดลง และมีความร่วมมือกันมากขึ้นกับจีนในประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมกันของคนทั้งโลก แม้มหาอำนาจทั้ง 2 จะยังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นต่อไปก็ตาม
“ที่จริง Global Issue (วาระร่วมกันของชาวโลก) ต้องพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ถ้ามหาอำนาจไม่ร่วมมือกันในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ไม่ว่าจะเป็น Climate Change (ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ) ผมว่าไบเดนก็มีท่าทีที่ดีในเรื่องที่จะกลับเข้าสู่เวทีพหุภาคีไม่ใช่เฉพาะอาเซียน ในระดับโลกก็คือ UN Agreement (ข้อตกลงสหประชาชาติ) ต่างๆ WHO (องค์การอนามัยโลก) หรือParis Agreement (ข้อตกลงปารีส) ในการเข้าไปสู่สนธิสัญญาข้อตกลงว่าด้วย Climate Change” อาจารย์กิตติ กล่าว
จากระดับโลกมองกลับมาที่ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะ “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)” อาจารย์กิตติ ให้ความเห็นว่า “หากไบเดนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ เชื่อว่าจะนำสหรัฐฯ กลับมาสู่ความสนใจในอาเซียน” เช่นเดียวกับสมัย ปธน.โอบามา ที่มาร่วมประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ ด้วยตนเองแทบทุกครั้ง ก่อนจะว่างเว้นไปในยุคของทรัมป์ ที่ส่งผู้บริหารระดับรองๆ ในรัฐบาลมาแทน แต่อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ต้องจับตามองคือ “สหรัฐฯ อาจชวนประเทศอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรสำคัญให้ช่วยสหรัฐฯ กดดันจีนอีกทาง” เช่น ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจากจีน
ซึ่งประเทศพันธมิตรดังกล่าว ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงชาติในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย อนึ่ง หากมองในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน จะพบว่า กัมพูชากับลาวดูจะเอนไปทางจีนอย่างชัดเจน ส่วนเมียนมายังก้ำกึ่ง ขณะที่ฟิลิปปินส์แม้ด้านหนึ่ง โรดริโก ดูเตอร์เต ปธน.ฟิลิปปินส์ จะวิพากษ์วิจารณ์ ปธน.ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อย่างรุนแรงจนดูเหมือนจะพาฟิลิปปินส์ออกห่างสหรัฐฯ เอนไปทางจีน แต่อีกด้านหนึ่งการทหารก็ยังมีการซ้อมรบและความร่วมมืออื่นๆ ต่อกันอยู่ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่เป็นโครงสร้างของประเทศ
“อาเซียนปีที่แล้วต้องชมบทบาทของไทย ที่สามารถผลักดัน ASEAN Outlook Asia-Pacific ออกมาได้ เรียกว่า AOIP พยายามแปลให้ Indo-Pacific Strategy เป็นความร่วมมือเน้นด้านเศรษฐกิจ ต้องให้เครดิตไทยกับอินโดนีเซีย ในการช่วยให้อาเซียนเห็นพ้องต้องกันในประเด็นเหล่านี้ เพราะมุมมองต่อมหาอำนาจมันไม่เหมือนกันทุกประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเชื่อว่าอาเซียนหลายประเทศคงจะต้องเล็งเห็นว่ามันไม่เป็นผลดีกับใครในการเลือกข้างอย่างชัดเจน อย่างไรอาเซียนก็จะต้องมีจุดยืนไม่เลือกข้าง และเน้นความร่วมมือกับทั้งอเมริกาและจีน” รศ.ดร.กิตติ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี