การล่วงละเมิดทางเพศมีระดับความรุนแรงตั้งแต่ด้านร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นปัญหาในสังคมไทยที่สะสมมานานและมีตัวเลขที่สูงขึ้นนับวันยิ่งยากแก่การแก้ไขการล่วงละเมิดทางเพศที่รุนแรงมากที่สุดคือการข่มขืนที่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิขั้นรุนแรงและทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กับผู้ถูกกระทำทั้งด้านร่างกายจิตใจในระยะยาวและใช้ระยะเวลานานในการลุกขึ้นมายืนหยัดแบบเดิมได้นอกจากนี้การล่วงละเมิดทางเพศ ที่มีผลในด้านจิตใจเป็นการคุกคามทางเพศที่ฉายทางสายตาวาจาหรือการสัมผัสร่างกายรวมทั้งการใช้สื่อออนไลน์เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากในขณะนี้และยังไม่มีกฎหมายชัดเจนในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำ
ดังนั้นการจะให้สังคมไทยได้เรียนรู้และทำความเข้าใจปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญการล่วงละเมิดทางเพศในคนพิการเป็นปัญหามานานมากขึ้นในสังคมไทยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเองก็เริ่มรับผู้มาร้องเรียนมากขึ้นและการเก็บข้อมูลจากข่าวก็มีปีละ 2-3% แม้ว่าจะเป็นตัวเลขไม่มากนักแต่น่าจะมีจำนวนอีกไม่น้อยที่ไม่ถูกนำเสนอเพราะผู้ถูกกระทำไม่มาร้องเรียน
การข่มขืนผู้พิการนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอำนาจชายเป็นใหญ่กดทับผู้พิการและเป็นข้อจำกัดของผู้พิการในหลายๆ ด้าน เช่น หูหนวก ตาบอด บกพร่องทางสติปัญญาหรือการเคลื่อนไหวทางหลักด้านร่างกาย เช่น ติดเตียงและเป็นคนยากจนที่ไม่มีเสียงและทรัพยากรในการใช้ร้องเรียนซึ่งเป็นการหาหลักฐานในการเอาผิดผู้กระทำได้ยากและกลไกภาครัฐไม่อำนวยความสะดวกหรือคุ้มครองสิทธิ์ผู้พิการให้ได้ปกป้องตนเองนำมาซึ่งข้อจำกัดในการร้องเรียน
นี่คือคำนิยมส่วนหนึ่งที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เขียนไว้ในหนังสือ “บาดแผลของดอกไม้” ผลงานของ นางสาวอรสมสุทธิสาคร ศิลปินศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2552 ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการสะท้อนปัญหาผู้พิการที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศและเป็นเสียงให้คนในสังคมได้ยินเพื่อเป็นแสงสว่างเล็กๆให้กับคนในสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักในปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและเป็นทางออกให้กับผู้พิการที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
การเปิดตัวหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในงานเสวนา“ตีแผ่ความจริง เมื่อคนพิการถูกล่วงละเมิดทางเพศ”จัดขึ้นโดยความร่วมมือกันระหว่าง มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ที่เดอะฮอลล์ กรุงเทพฯ
นางสาวอรสม สุทธิสาคร ศิลปินศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2552 ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เปิดเผยว่าจากการทำงานร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้พูดคุยกับเคสที่มีคนในครอบครัวเป็นคนพิการถูกล่วงละเมิดทางเพศทั้ง 15 เคส ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหนังสือ พบว่า ครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างมาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจซึ่งบางเคสผู้ถูกกระทำไม่สามารถสื่อสารใดๆได้ เช่น หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้
“คนเหล่านี้เขาไม่สามารถสื่อสารหรือเรียกร้องใดๆ ให้กับตนเองได้ ขณะเดียวกันคนในครอบครัวก็จะได้รับความทุกข์ตามไปด้วยและสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในครอบครัวจนมีผลกระทบต่อการทำงานและความเป็นอยู่ ซึ่งอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง มีความเข้าใจ ให้เป็นที่พึ่งกับคนเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมไม่ใช่แค่การเยียวยาด้วยเงิน และในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรจะแจงสิทธิที่ผู้ถูกกระทำพึงได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ” นางสาวอรสม กล่าว
ขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องราวของกลุ่มผู้หญิงพิการถูกข่มขืนในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางสติปัญญา บางรายพิการซ้ำซ้อน โดยผู้กระทำเป็นญาติ คนข้างบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับการเก็บข้อมูลจากข่าวหนังสือพิมพ์ และการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาของมูลนิธิ มีผู้หญิงพิการถูกข่มขืนเฉลี่ย 3-4 คน/ปี โดยมีความพิการทางสมองออทิสติก สติปัญญาบกพร่องอายุตั้งแต่ 14-16 ปี สะท้อนว่าเด็กหญิงพิการ อายุต่ำกว่า 18 ปี มีแนวโน้มถูกล่วงละเมิดทางเพศและข่มขืนมากขึ้น ส่วนผู้ก่อเหตุ พบเป็นคนใกล้ตัว เช่น พ่อเลี้ยง พี่ชาย เพื่อนบ้าน
สำหรับปัจจัยกระตุ้น พบว่า เมื่อมีความต้องการทางเพศ มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้ยาเสพติด และเมื่อเห็นเหยื่อมีข้อจำกัดในการปกป้องตนเอง ประกอบกับผู้หญิงมีความพิการ ไม่สามารถสื่อสารได้ เช่น หูหนวก ตาบอด และมีความกลัวจากการข่มขู่ทำให้แนวโน้มในการถูกล่วงละเมิดทางเพศเพิ่มขึ้น
นายจะเด็จกล่าวว่า ปัญหานี้เกิดจากรากคิดในระบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งในการต่อสู้ของผู้หญิงพิการมีข้อจำกัดมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะการสื่อสาร เช่น บางรายพิการซ้ำซ้อน หูหนวก ตาบอด ต้องมีล่ามช่วยสื่อสาร ต้องใช้ระยะเวลานาน ทำให้ไม่มีหลักฐานที่มากพอ นอกจากนี้ยังมีเรื่องความยากจน ไม่มีเงินสู้คดี นำไปสู่การไกล่เกลี่ย หรือนิ่งเงียบมากขึ้น อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมยังเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ เช่น ตำรวจไม่กระตือรือร้นช่วยเหลือ และดูเหมือนมีความใกล้ชิดกับผู้กระทำ ทำให้คดีอ่อนลง
“คนที่สามารถช่วยเหลือผู้หญิงพิการที่ถูกข่มขืนให้สามารถต่อสู้ได้ คือ คนใกล้ตัว เช่น พ่อ แม่ ญาติใกล้ชิด ส่วนกลไกรัฐต้องตระหนัก ทำงานเชิงรุกในพื้นที่ เช่น อปท. อสม.ต้องสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับครอบครัวและสังคมว่าคนพิการมีแนวโน้มถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น จึงต้องดูแลช่วยเหลือเพิ่มขึ้น” ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าว
หนึ่งในครอบครัวของเหยื่อที่ได้สะท้อนถึงปัญหาดังกล่าวออกมา คือ ลุงเอ (นามสมมุติ) คุณพ่อนักสู้ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ลูกได้เล่าว่าลูกสาวถูกเพื่อนร่วมงานของตนเองล่วงละเมิดทางเพศ ในตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร เราไม่รู้เรื่องกฎหมาย ตอนที่พาลูกสาวไปตรวจร่างกายที่ รพ.ตำรวจทางเจ้าหน้าที่ได้แนะนำและให้เบอร์โทรศัพท์ของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลมา ซึ่งทางมูลนิธิได้ช่วยเหลือ และแนะนำเป็นอย่างดี กว่าที่เราจะผ่านจุดนั้นมาได้มันยากมากในที่สุดคู่กรณีถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ถูกจำคุกไปแล้ว ปัจจุบันได้พ้นโทษและกลับมาใช้ชีวิตแถวชุมชน หลายครั้งที่ต้องเจอหน้ากัน คู่กรณีก็พยายามที่จะไม่เผชิญหน้า และลุงได้ส่งลูกสาวไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัดเพราะคิดว่าน่าจะมีความปลอดภัยกว่า
“สิ่งที่อยากจะฝากไปยังครอบครัวที่มีลูกสาวที่พิการ เราต้องดูแลเขาอย่าให้คลาดสายตา เพราะเขาไม่รับรู้หรือรู้เรื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา และอย่าคิดว่าลูกเราพิการแล้วคงไม่มีใครทำอะไรหรอก คุณคิดผิดถนัดเพราะในความเป็นจริงมันเลวร้ายกว่าที่คิด เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกเราปลอดภัย ไม่สุ่มเสี่ยงหรือเกิดช่องว่างให้ผู้ก่อเหตุ”คุณพ่อนักสู้ กล่าว
ทางด้าน นางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า สถานการณ์การล่วงละเมิดทางเพศในคนพิการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พม.มี พ.ร.บ.คุ้มครองคนพิการ แต่ในภาพรวมการปฏิบัติยังคงมุ่งเน้นไปเรื่องสิทธิของคนพิการ เช่น ความเสมอภาคในการทำงาน แต่ในส่วนผู้พิการที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศยังคงได้รับการดูแลที่ยังไม่ทั่วถึงทั้งหมด ซึ่งจากการทำงานร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เราพบว่า การมีชุมชนและผู้นำที่เข้มแข็งจะช่วยลดปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในคนพิการได้
ทั้งนี้ ทางกรมจะเน้นเรื่องของการป้องกันและเฝ้าระวัง สร้างชุมชนปลอดภัย เพื่อนำไปสู่ต้นแบบที่มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง มีการบำบัดและฟื้นฟู รวมทั้งมีการติดตามการดำเนินงาน ซึ่งจะพยายามสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชนให้มากขึ้น เพราะเราเชื่อว่าชุมชนที่เข้มแข็ง คนในพื้นที่จะมีความปลอดภัยมากขึ้นเช่นกัน
การจัดงานเสวนาดังกล่าว เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะช่วยเหลือคนพิการให้พ้นจากการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จก็คือความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี