คงต้องบอกว่า “หนักหนาสาหัส” จริงๆ สำหรับสถานการณ์การระบาดของ “ไวรัสโควิด-19” ที่แม้วันนี้จะเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เมื่อบางประเทศเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว แต่ก็คงอีกพักใหญ่กว่าโลกจะกลับสู่ภาวะปกติ และเมื่อหันกลับมาดูที่ประเทศไทย ล่าสุดได้เข้าสู่การระบาดระลอกใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ถึงขั้นที่มีการสั่งล็อกดาวน์ จ.สมุทรสาคร ศูนย์กลางการระบาดในรอบนี้
ช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2563 มีการสัมมนาหัวข้อ“ผลกระทบของ COVID-19 ต่ออุตสาหกรรมไทย” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) วิเคราะห์ผลกระทบของ 5 ธุรกิจ ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก เริ่มจาก “ธุรกิจอาหาร” นำเสนอโดย รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุว่า ธุรกิจอาหารไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก และที่กระทบก็เป็นผลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ภัยแล้ง แต่น่าสังเกตว่า หลังจากไทยยุติมาตรการล็อกดาวน์ ธุรกิจอาหารฟื้นตัวกลับได้ช้า
“ตัวที่น่าเป็นห่วงคือน้ำตาล ที่การส่งออกลดลงมากและการผลิตเราติดลบไปเกือบ 60-70% ทั้งล็อกดาวน์และคลายล็อกดาวน์ เพิ่งมาดีขึ้นช่วง ต.ค. 2563 นี่เอง น่าจะเป็นอย่างที่ทุกคนทราบดี เพราะว่าเราส่งออกได้ค่อนข้างแย่ในส่วนของน้ำตาล อุปทานของเราเองที่ถูกภัยแล้งทำให้อ้อยมีปัญหา ส่งออกไม่ได้เพราะบราซิล Dump (ทุ่ม) ตลาด เพราะบราซิลผลิตเอทานอลไม่ได้ ราคาน้ำมันมันต่ำฉะนั้นเขาก็ไม่อยากเอาอ้อยไปทำเอทานอล เขาก็เลยมีการ Dump ตัวน้ำตาล
ตรงนี้ออกมา แล้วกระทบการส่งออกของเรา” อาจารย์จุฑาทิพย์ยกตัวอย่าง
เมื่อวิเคราะห์จากกลุ่มเป้าหมายของผู้ประกอบการ จะพบว่า กลุ่มที่เน้นเจาะตลาดร้านอาหาร โรงแรม การจัดเลี้ยงภายในประเทศ และกลุ่มที่ผลิตอาหารแช่แข็งส่งให้สายการบิน จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลงบการเงินและงบกำไร-ขาดทุนของผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรที่นำส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ พบว่า “ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร เป็นกลุ่มเปราะบางสูง ร้อยละ 18.5 และกลุ่มเปราะบางร้อยละ 49.8 ของผู้ประกอบการธุรกิจกลุ่มนี้ทั้งหมด” โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SME) และเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย
ทั้งนี้ แม้จะพบกลุ่มเปราะบางได้ในทุกส่วนของธุรกิจอาหาร แต่จะพบมากในกลุ่มผู้ผลิตธัญพืช อาหารกระป๋อง และสัตว์น้ำแปรรูป “ผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางสูงมีโอกาสราวร้อยละ 15 ที่จะเลิกจ้างแรงงาน” ซึ่งการคาดการณ์ของคณะผู้วิจัยใกล้เคียงกับข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เผยแพร่ออกมาภายหลัง ที่พบการเลิกจ้างในธุรกิจอาหารอยู่ที่ประมาณร้อยละ 12 เปรียบเทียบระหว่างเดือนมี.ค. กับเดือนส.ค. 2563 ดังนั้นอาจมีผู้ประกอบการประมาณ 1,000 ราย ได้รับผลกระทบและในจำนวนนี้อาจถึงขั้นปิดตัวลง
อาจารย์จุฑาทิพย์กล่าวต่อไปว่า การส่งออกอาหารของไทยทำได้ดีในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ แต่หลังยุติการล็อกดาวน์ ผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกได้ดีเป็นพิเศษคือผลไม้ ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ส่งออกได้น้อยลง เพราะหลายประเทศก็เริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้การแข่งขันกลับมาสูงอีกครั้ง ในขณะที่การนำเข้า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. 2563 ไทยยังนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบประเภทพืช
แต่ที่น่าสนใจคือ “พบการนำเข้าพืชและสัตว์สำหรับนำมาใช้เพาะพันธุ์เพิ่มขึ้น” จึงเป็นคำถามว่า “ในขณะที่ไทยพยายามบอกว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมและประเทศอาหาร แล้วไทยมีศักยภาพด้านนี้ตลอดทั้งห่วงโซ่ (Chain)หรือเปล่า” นอกจากนี้ยังพบว่า “การส่งออกและนำเข้าอาหารของไทยค่อนข้างกระจุกตัวในตลาดไม่กี่แห่ง” ซึ่งน่าเป็นห่วงทั้งในระยะกลางและระยะยาว เพราะเท่ากับไทยเน้นพึ่งพา (Rely On) ตลาดที่ใดที่หนึ่ง เช่น ผลไม้ เนื้อไก่ มันสำปะหลัง ตลาดหลักที่ส่งออกไปคือจีน ส่วนข้าวกับปลาปรุงแต่งตลาดหลักที่ส่งออกไปคือสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
เช่นเดียวกัน ปัจจุบันไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่จากเมียนมา จากในอดีตที่จะกระจายในหลายแหล่งของประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ไทย ทั้ง เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ขณะที่มะพร้าวจำนวนมากถูกนำเข้ามาจากเวียดนาม จากเดิมที่กระจายกันระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซีย การปล่อยให้เกิดการพึ่งพาตลาด หรือแหล่งวัตถุดิบที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป ย่อมลำบากในการปรับตัวอย่างยืดหยุ่น (Resilience) หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
ประการต่อมา “มุมมองของผู้ประกอบการต่อมาตรการเยียวยาจากรัฐบาล” พบว่า 1.สินเชื่อที่ได้รับไม่เพียงพอ เห็นได้จากมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) จัดให้กับธุรกิจอาหารเพียงร้อยละ 7 ของวงเงินสินเชื่อประเภทนี้ทั้งหมด ในขณะที่วงเงินส่วนใหญ่ไปอยู่ที่ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารหลายรายเข้าไม่ถึง2.ขาดความชัดเจนด้านการลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มเปราะบางแต่ยังมีศักยภาพ
3.ขาดความจริงจังในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ เช่น การใช้เทคโนโลยี การให้ความรู้ด้านการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร ซึ่งที่ผ่านมายังพบอาหารจากไทยไม่ผ่านการตรวจคัดกรองเมื่อจะนำเข้าไปขายในตลาดสหรัฐฯ และ 4.มาตรการด้านการหาตลาดใหม่ เข้าถึงยาก เพราะการเข้าร่วมมีค่าธรรมเนียมสูง นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินการตามขั้นตอนขออนุญาตหรือจดทะเบียนต่างๆ (E-Government) เพราะมีประโยชน์ทั้งด้านการลดต้นทุนและอำนวยความสะดวก
อนึ่ง เมื่อดูการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท พบว่า ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับงบประมาณราว 3.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากแบ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้อง งบประมาณส่วนใหญ่จะไปกระจุกตัวที่การผลิตสินค้าเกษตรถึง 82 โครงการ รองลงมาคือการแปรรูป 15 โครงการ ในขณะที่ด้านบรรจุภัณฑ์มีเพียง 2 โครงการ ด้านการจัดจำหน่าย 5 โครงการ และด้านพันธุ์พืชอีก 1 โครงการ ซึ่งทั้ง 3 ด้านหลังนี้มีความสำคัญกับธุรกิจอาหาร
ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) รัฐบาลต้องจัดงบประมาณให้ครอบคลุมกับการพัฒนาศักยภาพตลอดทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่สายพันธุ์ผลผลิตทางการเกษตรที่ดี ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นทั้งในแง่ความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องกระจายตลาดส่งออกและแหล่งวัตถุดิบนำเข้า นอกจากนี้ ยังควรขยายมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางแต่มีศักยภาพได้ฟื้นตัว ตลอดจนให้ความช่วยเหลือกับ SME ด้านต้นทุนการตรวจสอบคุณภาพอาหาร เป็นต้น!!!
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับวันที่ 27 ธ.ค. 2563 หน้า 5)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี