สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกใหม่ทำให้การดำเนินชีวิตของแต่ละภาคส่วนต้องเปลี่ยนแปลงไป หนึ่งในนั้นคือเรื่องการศึกษา ซึ่งในส่วนของสถานศึกษาทั่วประเทศ ต้องหยุดการเรียนการสอนในชั้นเรียน และมุ่งสู่การเรียนออนไลน์ทดแทนการเรียนในชั้นเรียน
แต่ทว่า ด้วยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของไทยใช่ว่าเด็กทุกคนจะสามารถเรียนออนไลน์ได้ เนื่องจากข้อจำกัด ทั้งเรื่องของความยากจน การเข้าถึงอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ความช่วยเหลือดูแลของพ่อแม่ และหลายคนที่เรื่องปากท้องอาจสำคัญมากกว่าใช้เงินไปเติมอินเตอร์เนต โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาส เด็กยากจนพิเศษ เด็กชายขอบ ซึ่งเมื่อมีการเรียนออนไลน์ ย่อมมีข้อจำกัดมากมายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” หรือ กสศ. หน่วยงานหลักที่มุ่งส่งเสริมสร้างความเสมอภาคให้แก่เด็กทุกกลุ่ม จึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง
ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า สถานศึกษาทั่วโลกได้มีการปิดเรียน และผลการศึกษา COVID Slide จากนักเรียน 1.2 ล้านคน พบว่าทุกคนอยู่ในหลายสถานการณ์เดียวกันหมด คือ จากเดิมเด็กอยู่ในโรงเรียนประมาณ 9 เดือน ตอนนี้บางประเทศก็ปิดเรียนโดยใช้การเรียนออนไลน์ควบคู่การเรียนในชั้นเรียน เมื่อเกิดโควิด-19 ส่งผลให้สถานศึกษาในสหรัฐอเมริกาปิดลง เด็กอยู่บ้านเป็นเวลานาน พบว่าความรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ลดลงไป 50% และความรู้ด้านการอ่านลดลง 30%
อีกทั้งมีงานวิจัยอีกหลายแห่งได้ชี้ชัดว่า เด็กอยู่บ้านใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาแม่ของประเทศนั้น อย่างประเทศไทย เด็กชายขอบเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ หรือเด็ก 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทย เป็นภาษาหลักย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้ หรือเด็กกลุ่มคนชั้นกลาง มีฐานะ เข้าถึงคอมพิวเตอร์ อยู่หน้าจอนานๆ ส่งผลต่อสุขภาพจิต หรือพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ของเด็ก และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีอย่างเดียว ไม่สามารถชดเชยผลกระทบที่เกิดจากการไม่มาเรียนในโรงเรียนได้
“ผลกระทบที่เด็กไม่ได้มาโรงเรียนนั้นมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่หายหรือถดถอยไป การเข้าสังคม การได้รับอาหารที่มีโภชนาการ การบริการทางสังคม การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน โดยเฉพาะเด็กยากจนพิเศษ เด็กด้อยโอกาส เด็กเล็ก พวกเขาต้องได้รับอาหารที่ดี แต่ตอนนี้มีเด็กหลายคนกำลังอยู่ในภาวะหิวโหย ดังนั้น ภาพรวมของโควิด-19 ครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านต่างๆ และทำให้เด็กหลุดนอกระบบได้ ดังนั้น การปิดโรงเรียนโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมและช่วยเติมเต็มศักยภาพของเด็กด้วย”ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าว
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวถึงผลกระทบ COVID Slide ในประเทศไทยว่า ขณะนี้ใน 28 จังหวัด (ข้อมูลวันที่ 8 ม.ค.2564) พื้นที่สีแดงและพื้นที่สีแดงเข้มมีโรงเรียนปิดไปแล้ว 7,053 แห่ง มีนักเรียนที่ไม่ได้ไปโรงเรียน 2,375,187 คน ในจำนวนนี้มีเด็กยากจน 130,361 คน และมีเด็กยากจนพิเศษ 143,507 คน ซึ่งเด็กแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบแตกต่างกัน โดยเด็กยากจนในเขตเมือง สิ่งที่จำเป็นในขณะนี้ คือความอยู่รอด เรื่องปากท้อง และขาดอุปกรณ์ป้องกันโรค ขณะที่เด็กยากจนในพื้นที่ห่างไกล ขาดอุปกรณ์ป้องกันโรค อาหาร และอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ ส่วนเด็กเยาวชนแรงงานต่างด้าว เด็กปฐมวัยขาดทั้งนมผง อุปกรณ์ป้องกันโรคขาดสื่อการเรียนรู้
“ข้อเสนอของ กสศ. คือ 1 กุมภาพันธ์นี้ มีการเปิดเรียนปกติ อยากให้ครู ผู้บริหารโรงเรียน ประเมินคุณภาพทั้งร่างกาย จิตใจ และสุขภาพของเด็ก เพื่อจะได้รู้ว่าเด็กได้รับผลกระทบมากน้อยขนาดไหน และถ้าไม่ทำปัญหาก็จะอยู่ใต้พรมต่อไป เด็กมีโอกาสในการเรียนรู้เพียงครั้งเดียวในชีวิตในแต่ละช่วงชั้นถ้าปล่อยให้เป็นช่องว่างของการศึกษา คงไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กและการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เมื่อมีการคัดกรองและประเมิน ครูต้องมีการจัดสอนเสริม เติมเต็มพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กที่ถดถอยไป ต้องเติมทั้งเนื้อหาหรือทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับเด็กแต่ละช่วงวันและควรจะพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล ต้องทำให้ 3 เดือนสุดท้าย ก.พ.-เม.ย. ให้เด็กได้เรียนรู้ก่อนเลื่อนชั้น ก่อนปิดเรียนต้องเช็คพัฒนาการของเด็กอีกครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งในช่วงรอยต่อ ป.1 ม.1 และม.4 บางคนอาจตกหล่นหรือหลุดจากระบบการศึกษา ต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษา” ดร.ไกรยศ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษา กสศ.กล่าวว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤติครั้งนี้ คือเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กเล็ก เด็กประถม และเด็กมัธยม ซึ่งการที่พวกเขาไม่พูด นั่นอาจหมายถึงการซึมซับความขาด ความหิวโหย หรือกำลังเจอวิกฤติทางสังคม อารมณ์ ความรู้สึก เพราะพวกเขาต้องได้รับการเรียนรู้อย่างสนุก มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมีสังคมต่อกัน แต่ตอนนี้การเรียนออนไลน์ตัดขาดไปหมด ขณะเดียวกันบางครอบครัวก็ไม่มีอุปกรณ์ เด็กก็ไม่ได้เรียน ส่งผลต่อการเรียนรู้ของพวกเขา ตอนนี้กังวลว่าจะมีเด็กประมาณ 3,000-5,000 คน ที่จะหลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะเด็กมัธยมศึกษา พวกเขาไม่ได้เรียนต้องไปทำงานเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น อยากให้ทุกคนฟังเสียงเด็กว่าพวกเขาเป็นอย่างไร และไม่ควรปิดภาคเรียนนานกว่านี้ ขอวิงวอนให้เปิดเรียนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้
รศ.ดร.ธันยวิช วิเชียรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี กล่าวว่า ชุดกล่องการเรียนรู้ Black Box ที่ทาง กสศ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุมจัดทำขึ้นนั้น เป็นชุดเสริมทักษะการเรียนรู้ให้แก่เด็กหรือเป็นบทเรียนออฟไลน์ โดยภายในกล่องจะมี 4 หมวดวิชาที่ครอบคลุมพื้นฐานการเรียนรู้สำคัญได้แก่ นวัตกรรมและเทคโนโลยี สังคมและมนุษยชน วิทยาการวิจัย และสัมมาชีพศึกษา ซึ่งตามหลักแล้ว ชุดการเรียนรู้เสริมทักษะในศตวรรษที่ 21 นี้ จะมีทั้งหมด 12 รายวิชา แต่ตามข้อมูลของ กสศ. เด็กที่ได้รับผลกระทบเป็นเด็กระดับประถมศึกษา ดังนั้น ชุด Black Box 500 กล่อง จะถูกจัดส่งไปยังโรงเรียนในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด ก่อนจะขยายไปสู่จังหวัดต่างๆ
สำหรับการเตรียมตัว อย่างแรกอยากให้ครูทุกคนดูอุปกรณ์ทั้งหมด ให้เด็กๆ เลือกชุดการเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้มามีส่วนร่วมการเรียนรู้ของเด็ก โดยอยากให้เรียนจบภายใน 1 สัปดาห์ เลือกเรียน 1 วิชา ทำกิจกรรม 1 สัปดาห์ ซึ่งครูต้องออกแบบบทเรียน กระตุ้นการเรียนรู้
นางอรอุมา แจ่มเจ็ดริ้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านอ้อมโรงหีบ จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ตั้งแต่โรงเรียนปิดการเรียนการสอน ได้มีการประชุมทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของครู รวมถึงสำรวจความพร้อมของเด็ก ซึ่งพบว่า มีเด็ก 47 คน จาก 423 คน ไม่มีอินเตอร์เนต หรือคอมพิวเตอร์ใช้เรียนออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาครูจะใช้ใบงานในการประเมินผลหรือบันทึกคะแนน และจากการสำรวจความต้องการผู้ปกครองส่วนใหญ่ กว่า 90% ต้องการให้ครูสอนการเรียนรู้ผ่านใบงาน ซึ่งเมื่อทาง กสศ. และม.ศรีปทุม ได้จัดส่ง Black Box มาให้นักเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงออนไลน์ได้ทดลองใช้ เพื่อให้เกิดทักษะ กระบวนการแก้ปัญหาแก่นักเรียน และสามารถลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ถือว่าโรงเรียนโชคดี ที่ได้รับกล่องมาช่วยจัดการเรียนการสอน
อย่างไรก็ตาม จากนี้จะมีการส่งมอบ Black Box สื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้กับเด็กเยาวชนในระบบการศึกษาที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการเรียนรู้ ในพื้นที่ 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี และกาญจนบุรี และถุงยังชีพ “สู้วิกฤติให้น้องอิ่ม” จำนวน 15,000 ถุง ประกอบด้วย อุปกรณ์ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตและอุปกรณ์ป้องกันในสถานการณ์โควิด-19 ในระยะเวลา 15 วัน เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช ปลากระป๋อง แอลกอฮอล์ หน้ากากผ้า สำหรับเด็กเยาวชนขาดโอกาสที่อยู่นอกระบบการศึกษา 28 จังหวัดต่อไป
นี่เป็นเพียงด้านหนึ่งของปัญหาที่มีต้นตอมาจากไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกัน ก็มีความพยายามต่อสู้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้หมดสิ้นไป ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี