“ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อให้ประชาคมโลกเห็นความสำคัญในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน โดย องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้การรับรองเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2491 ดังนั้นจึงถือเอาวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็น วันสิทธิมนุษยชนสากล โดยเชื่อมั่นว่าการเห็นความสำคัญของสิทธิมนุษยชน ไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน จะทำให้โลกเกิดสันติภาพขึ้น
สำหรับประเทศไทย นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีการก่อตั้ง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิฯ และจัดทำรายงานข้อเสนอแนะถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อปรับปรุงการดำเนินการให้เคารพสิทธิฯ มากขึ้นแล้ว ยังมีการมอบ “รางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่น ด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นทุกปี โดยรางวัลประจำปี 2563 นั้น ได้มอบให้กับ 2 องค์กร และ 5 บุคคล เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา
“ผมสนใจเรื่องเอดส์ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์รามาฯ ปีที่ 3อาจารย์ให้ทำ Problem Base Learning (การเรียนรู้จากปัญหา) คืออยากทำหัวข้ออะไรก็ได้แล้วมาเล่าสู่กันฟัง ก็ไปเดินในห้องสมุดแล้วก็รู้สึกว่าโรคนี้ไม่เคยอ่าน ก็เลยหยิบมาแล้วก็อ่าน นั่นคือครั้งแรกที่จับเรื่องเอดส์ แล้วจากนั้นก็ลืมไป จนกระทั่งมาถึงช่วงปี 6 ไปทำงานที่โคราช (จ.นครราชสีมา) อยู่ Ward (หอผู้ป่วย) อายุรกรรมวันหนึ่งคุณพยาบาลก็โทร.เรียก บอกว่าคนไข้ฆ่าตัวตาย”
เรื่องเล่าจาก รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทุกวันนี้จะคุ้นชื่อตามหน้าสื่อจากการออกมาให้มุมมองความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่บ่อยครั้ง แต่ก่อนหน้านั้นหมอธีระเป็นคนหนึ่งที่ร่วมทำงานผลักดันจนนโยบายของรัฐไทยหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันการระบาดของโรคเอดส์ (HIV-AIDS) และเป็นผลงานที่ทำให้ได้รับรางวัลดังกล่าวในประเภทบุคคล
หมอธีระ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่ไปทำงานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา แล้วพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีฆ่าตัวตายในโรงพยาบาล ด้วยความที่สมัยนั้นสังคมยังหวาดกลัวโรคเอดส์ค่อนข้างมากผู้ติดเชื้อรายนี้ไม่สามารถกลับไปอยู่บ้านได้เพราะครอบครัวและชุมชนไม่ต้อนรับจึงตัดสินใจจบชีวิตตนเองลง ประกอบการกับในเวลานั้นยาต้านไวรัสยังมีราคาแพงและเข้าถึงยาก เหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้ทำให้ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น
“กระทั่งวันหนึ่งในปี 1999 (2542) ผมจำวันที่กับเดือนไม่ได้ชัดเจน รุ่นพี่คนหนึ่งที่บำราศนราดูร (สถาบันบําราศนราดูรกรมควบคุมโรค) โทร.มาบอก ธีระ! มันมีเคสคนไข้เอชไอวีนะ บำราศฯ ก็เป็น (โรงพยาบาล) โรคติดเชื้อสมัยก่อน คนไข้เอดส์ก็ไปตรงนั้นหมด แล้วก็มีการสร้างตึก 4-5 ชั้น คนไข้เอชไอวีเต็มทุกเตียง แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นเอดส์ทั้งนั้น เขาบอกว่าไม่มีหมอ ช่วยหน่อยได้ไหม? ผมก็ตัดสินใจไปทำงานที่โน่น ทำแล้วก็พบว่ามันติดปัญหาจริงๆ โรงพยาบาลรักษาเต็มที่แล้ว แต่กลับไปบ้านใช้ชีวิตไม่ได้ ทำงานไม่ได้ สังคมไม่ยอมรับ
จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจเข้าไปทำงานในกระทรวงสาธารณสุข กองโรคเอดส์ กรมควบคุมโรคติดต่อ (ชื่อของกรมควบคุมโรคในสมัยนั้น) หวังอยากจะทำเรื่องปรับเปลี่ยนนโยบาย และพัฒนาระบบบริการตั้งแต่การตรวจ CD4 Virus Load ให้มันเข้าถึงได้ เพราะสมัยก่อนราคามันแพงมากแล้วก็เครื่องไม้เครื่องมือไม่พอ ยาต้านทำอย่างไรเข้าถึงได้ ราคามันแพงทำอย่างไรถึงจะลดราคาลง เราก็ทำงานกับพี่น้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม NGO เครือข่ายผู้ติดเชื้อ นี่เป็นที่มาที่เราทำงานด้านเอดส์” หมอธีระ กล่าว
ไกลออกไปจากเขตเมือง “พื้นที่ชายแดน” เป็นศูนย์รวมของ “คนชายขอบ” ที่มักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการดูแลคุ้มครองด้านต่างๆ จากรัฐ ยังมีความพยายามของบุคลากรสาธารณสุข อาทิ “โครงการสี่หมอชายแดนตาก” อันเกิดจากความร่วมมือกันของ 4 โรงพยาบาลใน จ.ตาก คือ รพ.อุ้มผาง รพ.แม่ระมาด รพ.ท่าสองยาง และ รพ.พบพระ ในการดูแลสุขภาพผู้คนในพื้นที่ จนได้รับรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่น ด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2563 ประเภทองค์กร
ตัวแทนผู้รับมอบรางวัล นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง เล่าว่า ด้วยความอยากไปในที่ไม่เคยไป ทำให้เมื่อเรียนจบแพทย์ใหม่ๆ ตัดสินใจขอไปประจำการในพื้นที่ จ.ตาก และได้พบกับผู้ป่วยที่หลากหลาย ตั้งแต่คนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนไปจนถึงคนจากประเทศเพื่อนบ้านที่ข้ามแดนมาก “มีครั้งหนึ่งถึงขนาดต้องค้นกระเป๋าคนไข้เพื่อเก็บเงินค่ารักษา..ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกผิดบาปในใจ” กระทั่งต่อมาได้รับความรู้เรื่อง “การจดทะเบียนการเกิด” โดยเมื่อมีแล้วสามารถซื้อหลักประกันสุขภาพได้
หมอธวัชชัย มองปัญหาคนไร้สัญชาติว่าเป็นความบกพร่องของภาครัฐในอดีตที่อาจเข้าไม่ถึงชาวบ้าน ขณะที่ชาวบ้านเองด้วยความที่เวลานั้นการมีหรือไม่มีสัญชาติไทยก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตมากนักเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่การมีสัญชาติทำให้ได้รับสิทธิต่างๆ เช่น เบี้ยผู้พิการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญแล้วก็เกิดปัญหาคนตกหล่นจากการสำรวจ รวมถึงการสื่อสารไม่เข้าใจกันเพราะชาวบ้านใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีส่วนเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่สามารถใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ การลงบันทึกว่าเป็นคนไทยหรือไม่จึงคลาดเคลื่อน
“การควบคุมป้องกันโรค เราจะควบคุมเฉพาะคนไทยสัญชาติไทย ผมถามว่าเวลาเราไปออกหน่วย อย่างโรงพยาบาลไปออกหน่วยที่โรงเรียน เราไปทำฟัน เราแยกได้ไหม? อันนี้ไทย-ไม่ไทย เราจะทำเฉพาะคนไทยหรือครับ? มันเป็นไปไม่ได้ รวมทั้งวัคซีน ถ้าเราจะป้องกันโรคมันก็ต้องฉีดให้เยอะที่สุด เราจะไปแยกฉีดคนไทย-ไม่ใช่คนไทย มันไม่ใช่! คำว่าสิทธิมนุษยชนมันทำให้ดูดี แต่จริงๆ พื้นฐานความเป็นบุคลากรสาธารณสุข ที่ทางกระทรวง ทางมหาวิทยาลัยได้สั่งสอนมา คือเราต้องดูแลทุกคนอย่างน้อยให้เท่าเทียมกันในระดับหนึ่ง” หมอธวัชชัย ระบุ
เช่นเดียวกับ เกรียงไกร ไชยเมืองดี เลขาธิการและผู้อำนวยการมูลนิธิรักษ์เด็ก ผู้ได้รับรางวัลฯ ประเภทบุคคล จากผลงานด้านการส่งเสริมสิทธิเด็กมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมักถูกละเลยจากหน่วยงานภาครัฐด้วยความที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือไม่มีสถานะทางทะเบียนประกอบกับอยู่ห่างไกลเล่าว่า ในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 มูลนิธิฯ ได้รับการสนับสนุนถุงยังชีพ หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือจากสภากาชาดไทยรวมถึงภาคธุรกิจเอกชน สำหรับแจกจ่ายให้กับแรงงานข้ามชาติ เพราะคนกลุ่มนี้ตกหล่นไปจากหน่วยงานของรัฐ
“บางคนเป็นไปได้ที่อาจจะต้องอดตาย เพราะเขาถูกนายจ้างไม่ให้ออกนอกบริเวณที่พักของเขาด้วย ที่อยู่แออัด ไม่ต้องพูดถึง Distancing (การเว้นระยะห่าง) คือ 1 ห้อง นายจ้างให้อยู่7-8 คน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง” เกรียงไกร กล่าว
(โปรดติดตามต่อในฉบับวันเสาร์ที่ 27 ก.พ. 2564)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี