สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ประกอบ พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพ.ศ.2542 ซึ่งดำเนินภารกิจด้านการตรวจสอบ คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มาจนถึงปัจจุบัน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2564 ที่สำนักงาน กสม. ศูนย์ราชการฯถ.แจ้งวัฒนะ ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ มีการแถลงผลการดำเนินงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดย สุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเปิดเผยว่า 5 อันดับแรกของประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาในช่วงดังกล่าว อันดับ 1 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม 170 เรื่อง อันดับ 2 สิทธิพลเมือง 74 เรื่อง อันดับ 3สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน 53 เรื่อง อันดับ 4 สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม 37 เรื่อง และอันดับ 5การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม 26 เรื่อง
ขณะที่การจัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย นอกจากเรื่องหลัก 3 ด้านคือ1.สถานการณ์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 2.สถานการณ์ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และ 3.สถานการณ์ของกลุ่มบุคคล เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ สตรี และความเสมอภาคทางเพศ และผู้มีปัญหาทางสถานะสิทธิ ยังมีประเด็นเฉพาะที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ในที่นี้คือ 1.การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กับ 2.การประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องทางการเมือง
กสม. ยังได้เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย 1.ปัญหาพนักงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติงาน 2.การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนพิการ 3.กรณีผู้สูงอายุ 4.กรณีศึกษาผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) 5.การยุติการตั้งครรภ์เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และ 6.หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
“ปีที่แล้วเราทำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาให้กับ 5 ช่วงชั้นของนักเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาตอนปลาย ไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อที่จะได้ให้ครูนำไปในการสอนให้กับนักเรียนในทุกช่วงชั้น หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเด็กอนุบาลควรเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนแล้วหรือ? จำเป็นนะ!เราอยากจะสอดแทรกตั้งแต่เริ่มแรกของการเรียนรู้ แล้วก็สอดแทรกเข้าไปให้คนไทยทุกคนได้ตระหนักและเรียนรู้สิทธิมนุษยชนแล้วปัจจุบันเราก็ทำไปถึงหลักสูตรของอุดมศึกษา คือระดับมหาวิทยาลัยเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน” สุวัฒน์ กล่าว
นอกจากการจัดทำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาแล้ว ในปีที่ผ่านมา กสม. ยังจัดโครงการเยาวชนคนรุ่นใหม่ใส่ใจและยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชน แม้จะอยู่ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่โครงการยังเดินหน้าต่อไปผ่านทางออนไลน์ โยนโจทย์ให้เยาวชนระดับมัธยมและอุดมศึกษาไปคิดค้นนวัตกรรมการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนในวิกฤติโรคระบาด ซึ่งประกาศผลทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศไปแล้ว ซึ่งระดับมัธยมเป็นภาพยนตร์สั้น “(กระสุนฝังใจ...The Imprint)” จากทีม รร.ศรียาภัย จ.ชุมพร และระดับอุดมศึกษาเป็นผลงานการฟ้อนรำประกอบบทเพลง “สิทธิมนุษยชนลำเพลิน” จากทีมวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์
อนึ่ง กสม. ยังมีความร่วมมือกับศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค โดยเป็นการทำงานร่วมกันของ กสม.กับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ทั้งด้านการรับเรื่องร้องเรียน ให้ความรู้และศึกษาวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในท้องถิ่นแบ่งเป็น ภาคเหนือ 2 แห่งคือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับมหาวิทยาลัยพะเยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น กับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ภาคตะวันออก มี 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยบูรพา กับมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ภาคตะวันตก 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี กับมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และภาคใต้ 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) โดยสำหรับภาคใต้นั้น กสม. ยังมีแผนจัดตั้งสำนักงานถาวร ครอบคลุมการทำงานทั่วทั้ง 14 จังหวัดในพื้นที่
“ภาคใต้ที่เป็นศูนย์ถาวร เราอยากจะให้มีสำนักงานที่จะสามารถรับเรื่องจากพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วขึ้น มีเครื่องมือที่จะเผยแพร่เรื่องสิทธิมนุษยชน แล้วท่านจะเห็นว่าสถานการณ์ คำร้องเรียนที่มากที่สุดมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีเรื่องเข้ามาเยอะมาก เราจึงเห็นว่าในพื้นที่ภาคใต้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เราอยากจะมีสำนักงานเข้าไปทั้งตรวจสอบ ส่งเสริม คุ้มครองและต่างๆ ให้มันเกิดความเป็นรูปธรรมชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราจึงเน้นไปที่ภาคใต้ แล้วคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเราจะเร่งในการทำงาน” สุวัฒน์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม สำหรับ “การชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม” ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กสม. ที่กำหนดไว้ใน “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 247 (4)” แม้ในปี 2563 กสม. จะดำเนินการไปแล้ว 5 เรื่อง กรณีองค์กรต่างประเทศทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ออกรายงานวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาสิทธิมนุษยชนของไทย
แต่สำหรับ กสม. แล้ว มองว่า “บทบาทข้างต้นไม่สอดคล้องกับหลักปารีส (Paris Principles) อันเป็นหลักสากลว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”จึงเสนอให้ “แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัดมาตราดังกล่าวออก” และแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ในส่วนเดียวกัน รวมถึงขอให้รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เร่งรัดการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.ป.กสม. (ฉบับที่..) พ.ศ. ...
เพื่อให้ กสม. สามารถทำหน้าที่ในการคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ล่าช้าและสอดคล้องกับหลักสากล!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี