1.การปฏิวัติในเมียนมาเมื่อปลายเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมาส่งผลให้ประชาชนในเมียนมา ทั้งชาวพม่าและชาติพันธุ์ต่างๆ ลุกขึ้นมาเดินขบวนต่อต้านไปทั่วประเทศ ในเวลาเดียวกัน กองทัพเมียนมา (กลุ่มครองอำนาจ) ก็ดำเนินการปราบปรามการต่อต้านด้วยความรุนแรง จนทำให้มีประชาชนในกลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิตไปกว่าร้อยคนแล้ว อีกทั้งโรงงานอุตสาหกรรมของชาวจีน ศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้าถูกเผา บ้านเรือนถูกไฟไหม้ สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจมหาศาล จนทำให้ประชาชนในเมียนมาจำนวนหนึ่งต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ เพื่อหนีการจับกุม และปราบปราม คำถามจึงเกิดขึ้นตามมาว่า เมียนมามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และอนาคตต่อไปจะเป็นแบบไหน
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเป็นเวลานาน และญี่ปุ่นเข้ามายึดครองในช่วงเวลาหนึ่ง จนในที่สุดพม่าได้เอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2491 มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีจนถึงปี พ.ศ. 2505 (เป็นประชาธิปไตย 14 ปี) จากนั้น
เกิดการยึดอำนาจโดย “นายพลเนวิน” และครองอำนาจต่อมา จนถึงปี พ.ศ. 2531 เกิดการยึดอำนาจขึ้นอีกครั้ง และคณะทหารก็ครองอำนาจต่อจนถึงปี พ.ศ. 2554 รวมระยะเวลาที่คณะทหารต่างๆ ใช้อำนาจบริหารประเทศยาวนานถึงประมาณ 50 ปี ก่อนเกิดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคณะทหาร ผลการเลือกตั้งส่งผลให้พรรคการเมืองภายใต้การนำของ “นางออง ซาน ซู จี” ชนะการเลือกตั้ง และเมื่อครบเทอม (2554-2563) จึงมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งคณะทหารได้อ้างว่า มีการทุจริตการเลือกตั้ง จึงทำการประกาศยึดอำนาจอีกครั้งในปลายเดือนมกราคม 2564 ตามที่ได้ทราบไปแล้ว
2.นับตั้งแต่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2505 จนถึงปัจจุบัน เมียนมาปกครองโดยรัฐบาลที่ทหารยึดอำนาจรวมเกือบ 60 ปี และมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพียง 10 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คณะทหารของเมียนมา คือ กลุ่มที่คุมอำนาจทางการเมืองอันแท้จริง แม้ในช่วงหลังจะมีรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม ตลอดระยะเวลาการปกครองประเทศโดยทหาร มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารเป็นระยะๆ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ
คณะทหารไม่เคยยอม อ่อนข้อให้กับกลุ่มประชาชนที่คัดค้านเลย ทหารพร้อมใช้ความรุนแรงกับประชาชนเพื่อรักษาอำนาจของตนเสมอมา
สถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้ นอกจากการปราบปรามประชาชนที่เดินขบวนประท้วง ด้วยการใช้อาวุธที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแล้ว กองกำลังของชนกลุ่มน้อยเริ่มสนับสนุนการประท้วงของประชาชน และประกาศว่า ถ้าทหารใช้กำลังปราบปรามประชาชน กองกำลังของชนเผ่าจะเข้ามาปกป้องให้ความปลอดภัยกับประชาชน ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างทหารกับกองกำลังของชนเผ่าขึ้น และส่งผลให้ทหารรัฐบาลส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในพื้นที่ของกองกำลังชนเผ่าแล้ว ทำให้เกิดการตกใจ และหวาดกลัวของประชาชนตามพื้นที่ชายแดน ซึ่งติดกับชายแดนของประเทศไทย และพยายามข้ามแม่น้ำสาละวินเข้ามาหลบภัย ในดินแดนของไทยเป็นจำนวนมาก
3.ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มกดดันด้วยการระงับความช่วยเหลือต่างๆ ที่เคยให้กับเมียนมา และขู่ลงโทษด้วยการตัดการค้าขายกับเมียนมา ในขณะที่คณะทหารเมียนมาแสดงท่าทีตอบโต้ด้วยความแข็งกร้าวว่า เมียนมาเคยชินกับการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมานานแล้ว เมียนมาสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องสัมพันธ์กับโลกตะวันตก ในขณะที่จีน และรัสเซีย ก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านรัฐบาลทหารในเมียนมา โดยถือว่าไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในของเมียนมา ส่วนประชาชนเมียนมาจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในเมียนมา เพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกทหารทำร้าย ความตึงเครียด และความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ สื่อมวลชนต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า เมียนมาเข้าใกล้จุดที่จะเกิดสงครามกลางเมืองมากๆ แล้ว คำถามสำคัญก็คือ เมียนมาจะมีทางออกจากวิกฤติการเมืองนี้อย่างไร
การแก้ไขวิกฤติทางการเมือง และความรุนแรงในเมียนมาขณะนี้ เบื้องต้นคือการยุติความรุนแรง เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตของประชาชน แล้วหลังจากนั้น กระบวนการและกลไกการแก้ไขวิกฤติทางการเมืองควรจะต้องทำด้วยสันติวิธี นั่นคือการเจรจา พูดคุย ต่อรอง ไปจนถึงการประสานประโยชน์เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่างน้อยที่สุดเพื่อยุติความรุนแรงอย่างยั่งยืน
กระบวนการเจรจา และแก้ปัญหาอย่างสันตินั้น โดยพื้นฐานเกิดขึ้นได้ด้วยการทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะฝ่ายที่จะใช้ความรุนแรงเห็นว่า การใช้ความรุนแรงจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และพวกเขาจะเสียหายจากการใช้ความรุนแรง
ตรงกันข้ามเมื่อฝ่ายที่จะใช้ความรุนแรงมองเห็นว่า ตนจะไม่สูญเสียทั้งหมด และจะได้ในบางเรื่อง ด้วยการยอมเสียบางส่วน โอกาสที่การใช้ความรุนแรงจะลดลง และหวังว่าจะนำไปสู่การเจรจา และพูดคุยกัน
4.การที่ทุกฝ่ายจะมองเห็น และเข้าใจเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาใช้ “เหตุผล และสติปัญญา” และเงื่อนไขนี้ต้องเกิดขึ้นด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีฝ่ายใดสามารถกดดันให้เกิดขึ้นได้เลย การคิดได้เองเช่นนี้ จึงเป็นเงื่อนไขของการแก้ไขวิกฤติ และความรุนแรง ซึ่งทุกคนหวังว่า ทั้งฝ่ายทหารและประชาชนในเมียนมา จะใช้ “เหตุผลและสติปัญญา” คิดได้เองในเร็ววัน
และเมื่อทั้งสองฝ่ายคิดได้เช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า ความสงบสันติจะเกิดขึ้น แล้วปัญหาวิกฤติจะหมดไป ตรงกันข้ามมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การเจรจาพูดคุย และต่อรอง เพื่อการแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ ต้องขึ้นกับปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ
1.ความไว้วางใจต่อกัน
2.ความเกลียดชังต่อกัน
3.จุดยึดเหนี่ยวร่วมกัน
4.พื้นที่ปลอดภัยเพื่อการเจรจาพูดคุย
เมื่อกลับไปดูประวัติศาสตร์พม่าในรอบ 50-60 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ เราจะพบว่าความไว้วางใจระหว่างทหารกับประชาชนมีน้อย ประชาชนถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง โดยกลุ่มที่มีอำนาจทางทหาร และพลเรือน ประกอบกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และความขัดแย้งทางศาสนา ส่งผลให้ความไว้วางใจระหว่างประชาชน และทหาร รวมทั้งในหมู่ประชาชนกันเองถูกบั่นทอนไปมาก โดยเฉพาะในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ความไม่ไว้วางใจนี้ เมื่อถูกนำไปปลุกระดม สื่อสารเชิงทำลายล้างระหว่างกันอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ทำให้เกิดการแบ่งประชาชนและทหารออกจากกันอย่างชัดเจน โดยในหมู่ประชาชนก็เกิดการแบ่งฝักฝ่ายระหว่างกัน เกิดสภาวะที่เรียกว่า “กับดักทางความคิดและความเชื่อ” ที่ทำให้ประชาชนปฏิเสธข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้าม (Echo Chamber) และเสพข้อมูลเฉพาะที่ตนเห็นด้วยเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้เปรียบเสมือนการสะกดจิตตนเองให้คิด เชื่อ และทำตามแบบแผนของกลุ่มตนเท่านั้น อันตรายที่ตามมาคือ ความเกลียดชังต่อกัน เช่นที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้
5.เมื่อความไว้วางใจ และความเกลียดชังต่อกัน ระหว่างทหารกับประชาชนในเมียนมาเกิดขึ้นในระดับเข้มข้น จนไปถึงขั้นการใช้อาวุธ และกำลังต่อสู้กันแล้ว แสดงให้เห็นว่า จุดยึดเหนี่ยวร่วมกันระหว่างประชาชนกับทหารในเมียนมาไม่มีอีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู มากกว่าเป็นคนในชาติเดียวกัน ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ กระตุ้นอารมณ์ และความโกรธเกลียด ให้มุ่งหน้าไปสู่การใช้ความรุนแรง และโอกาส เกิดสงครามกลางเมืองแบบจำกัดในบางพื้นที่สามารถมีได้ตลอดเวลา
การใช้เหตุผลเพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนรวม คือ ประเทศชาติ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นในเมียนมาขณะนี้ ผลที่ตามมาคือ การมองเห็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อการพูดคุย และแก้ปัญหาร่วมกัน จึงแทบหาไม่เจอ ด้วยสถานการณ์ดังว่านี้ จึงส่งผลให้ประชาชนเมียนมา และสื่อมวลชนต่างประเทศ เรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในเมียนมา เพื่อขัดขวางการใช้ความรุนแรงของทหาร และบีบบังคับให้เกิดการเจรจายุติความรุนแรงของทั้งสองฝ่าย
อนาคตของเมียนมามืดมน และถ้าจะถามใครก็ตามที่เฝ้ามองเหตุการณ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของเมียนมา ผมเชื่อว่า ทุกคนจะรู้สึกเสียดาย และไม่คาดคิดว่า เมียนมาจะมาถึงจุดแตกหักเช่นนี้
“ดูละคร แล้วย้อนดูตัว” เป็นคำกล่าวเชิงเปรียบเปรยของคนไทยมาช้านาน ประชาชนคนไทย และ ทุกขั้วอำนาจควรนำเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมากลับมาคิด แล้วหาข้อสรุปกับตัวเองให้ได้ว่า “ปัญหาในบ้านเมืองของเรา ควรต้องหาทางออกกันอย่างไร”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี