ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ มีพระบรมราชโองการ ประกาศ ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 โปรดสถาปนาสมณศักดิ์ พระธรรมไตรโลกาจารย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรองที่พระพรหมวัชราจารย์ มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูป จึงแต่งตั้งให้ “พระมหาสามเรือน” ฉายา ปุญฺเญสโก อายุ 80 พรรษา 56 วิทยฐานะ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบล จังหวัดสมุทรปราการ (ธรรมยุต) เจ้าอาวาส วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ดำรงตำแหน่งฐานานุกรมที่ “พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ วิบุลธรรมสุนทร บวรสังฆานุนายก ณ พระอุโบสถ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
“แนวหน้า ออนไลน์” จึงได้นำธรรมเทศนาของพระราชสุเมธี หรือ หลวงปู่เหลี่ยม สุจิณฺโณ เจ้าอาวาส วัดภูตูมวนาราม ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมตตาเทศนาธรรมที่วัดอโศการาม ในโอกาสครบรอบ 80 ปี อายุวัฒนมงคลของ “พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ” เจ้าอาวาส วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เจริญสุข ท่านผู้ฟังทั้งหลาย กัณฑ์นี้เป็นกัณฑ์ที่ วันนี้นับว่า เราได้มาบำเพ็ญ สร้างบุญสร้างบารมี ด้วยการสร้างมหาบุญ และ อนันตบุญ มหาบุญ เราได้ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็เจริญภาวนา จะทำให้จิตสงบเท่าไหนเพียงไรนั้น ก็สุดแล้วแต่ความตั้งใจ เราก็ได้มหาบุญ ส่วนอนันตบุญ บุญไม่มีที่สิ้นสุดเรียกว่า อินฟินีตี้ (Infinity) อันนี้เกิดขึ้นจากบุญฤทธิ์ การทำจิตของตนให้เข้าถึง “สมาธิ” ตั้งแต่ขั้นอุปจาระสมาธิ และ ถึงขั้นฌานต่อไป นี่คือเรื่องบุญ ดังนั้น ท่านผู้ใดตั้งใจบำเพ็ญบุญ ตั้งใจสร้างกุศล ก็จะทำให้เรานั้นหลุดพ้น จากภาวะที่เราไม่ได้พัฒนาชีวิต ไม่ได้บริหารชีวิตของตนเอง
วันนี้เป็นวันคล้ายวันอายุวัฒนะของเจ้าอธิการ “พระมหาสามเรือน ปุญเญสโก” เจ้าอาวาส วัดอโศการาม รูปที่ 4 น่าที่อัศจรรย์ พรรษาของท่าน อันเป็นพรรษาที่ 55 เท่ากับอายุของท่านพ่อ ที่ท่านได้ละสังขารไป เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2504 อายุได้ 55 ปี แต่ปีนี้พรรษาของเจ้าอาวาสรูปที่ 4 มีพรรษาได้ 55 ปี ดังนั้น เราจึงมาบูชาคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ฯด้วย บูชาคุณของพระพุทธเจ้า ทั้งพระธรรมด้วย การทำบุญอายุวัฒนะ เราจะได้เห็นอยู่ทั่วไปก็คือ การนิมนต์ครูบาอาจารย์ฯ มารับไทยทาน และ ไทยธรรม ก็คือมาเจริญพระพุทธมนต์ให้ พอเป็นพิธีถวายสิ่งของ ไปบางวัดถวายมากก็ได้รับการกล่าวขวัญว่า โอ้! มาวัดนี้ทำบุญอายุวัฒนะของพระคุณเจ้ารูปนี้ มีของเยอะ เสร็จแล้วก็เลิกกัน แล้วก็ไปทำบุญอีก ทำบุญตักบาตรในวันรุ่งขึ้น ทีนี้เราได้มีการปฏิบัติธรรม บำเพ็ญธรรมะสวนะมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม ผ่านมาแล้ว 2 กัณฑ์ กัณฑ์นี้เป็นกัณฑ์ที่ 3 มีทั้งหมด 5 กัณฑ์ ก็เท่ากับเลข 5 ซึ่งพรรษาของเจ้าอธิการ พระมหาสามเรือน ปุญเญสโก ท่านเป็นเจ้าอาวาส และ ก็เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ในตำบล จังหวัดสมุทรปราการนี้
ถ้าจะกล่าวถึงเจ้าอาวาสรูปแรกก็คือ ท่านพ่อลี ธัมฺมธโร หรือ พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ ในปี 2500 ท่านพ่อได้ฉลองพุทธศตวรรษ 25 พุทธศตวรรษ กึ่งพุทธกาล ด้วยความจริงใจในยุคนั้น และ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ถึงปี 2504 ท่านได้ละสังขาร ต่อมายังไม่มีเจ้าอาวาส สมเด็จพระมหาวีรวงษ์ (จวน อุฏฺฐายี) วัดมกุฎกษัตริยาราม รักษาการเจ้าอาวาสสืบมา จนกระทั่งเมื่อท่านเจ้าคุณได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช การรักษาการณ์เจ้าอาวาสก็สิ้นลง ก็เป็นได้อยู่ประมาณ 2-3 ปี ต่อแต่นั้นก็มีครูบาอาจารย์ฯ มีหลวงปู่สิมบ้าง รักษาการณ์ในระยะสั้นๆ
แล้วก็ต่อมาก็หลวงพ่อสำรอง หรือ เจ้าคุณราช ในฐานะเป็นพระราชาคณะชั้นราช และ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ เป็นเจ้าอาวาสอยู่นานพอสมควร เป็นรูปที่ 2 รูปที่ 3 ก็คือ พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จันฺทสิริ) ก็มา พระมหาสามเรือน ปุญเญสโก ก็เป็นเจ้าอาวาสสืบมาเป็นรูปที่ 4 ก็ลำดับความเป็นมาเจ้าอาวาสวัดอโศการาม ซึ่งเป็นบุญญเขตอยู่ใกล้เมืองกรุง ตั้งแต่สร้างวัดอโศการามมา ฉลองพุทธะ 25 พุทธะศตวรรษ ก็ทำให้เกิดมีพระสงฆ์ มีครูบาอาจารย์ฯที่เป็นศิษย์ ในสายหลวงปู่มั่น ร่วมกันกับหลวงพ่อลี ได้แวะเวียนมา “วัดอโศการาม” ถือว่าเป็นวัดที่อยู่ใกล้เมืองกรุงในยุคนั้น ซึ่งวัดอื่นๆยังไม่มี พระสายหลวงปู่มั่น ถ้าอยู่ป่า คุ้นเคยกับป่า ไปอยู่ในวัดบ้านก็ไม่สะดวก จึงมาที่วัดอโศการาม อันนี้เล่าก่อน ยังไม่ได้เทศน์ เล่าให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ท่านกำลังสลึมสลืออยู่ ก็ตั้งสติ ถ้าหากมันง่วงก็ไปล้างหน้า แล้วก็ออกไปเดินสูดอากาศรับลม แล้วก็เข้ามานั่ง นี่คือการบำเพ็ญ ก็คือ การสร้างความเพียรให้เกิดขึ้น
วัดอโศการาม ตั้งแต่ท่านพ่อยังดำรงชีพอยู่ ก็มีการอยู่ “เนสัชชิก” การธุดงค์ ในวันธรรมสวนะตลอดมา แต่ก่อนก็มีประมาณ 20-30 คน แม่ชีครึ่งศาลาอยู่ด้วยกันจำนวนมาก พอใกล้ 5 ทุ่ม 6 ทุ่ม พระก็เหลืออยู่ด้วยกัน 4-5 รูป ใน 4-5 รูปนั้น ก็มีผู้พูดอยู่นี่รวมอยู่ด้วยในยุคนั้น ก็สมัยท่านพ่อละสังขารนั้น 3 เดือนแรก ตอนนั้นพวกเรายังเป็นสามเณรกันอยู่ มีอยู่ 6-7 รูปที่เป็นจิตอาสา โดยมีหลวงปู่มหาเนียม ซึ่งต่อมาก็ไปเป็นเจ้าคณะภูเก็ต พังงา กระบี่ เป็นรูปที่ 2 รองจากหลวงปู่เทสก์ ที่เป็นเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุต จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา รูปแรก ท่านได้ลาออกแล้วก็กลับไปหนองคาย สร้างวัดหินหมากเป้ง ซึ่งเป็นวัด แล้วก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งละสังขาร รูปที่ 2 ก็มีหลวงปู่มหาเนียม ต่อมาก็เป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดหลังศาล นั่นละท่านนำพาฝึกพวกเราให้อยู่รับแขก รับครูบาอาจารย์ฯที่จรมาจากทั่วสารทิศเพื่อมากราบศพท่านพ่อ ที่อยู่ศาลาทรงธรรม ปี 2504 ตั้งแต่วันมรณะผ่านไปเป็นเวลา 3 เดือน เราจะอดตาหลับขับตานอน รอรับแขก โดยมีหลวงปู่มหาเนียมนั้นคอยดูแลความเรียบร้อย สามเณร 6-7 องค์ ก็มีสามเณรทรงยศ สามเณรจำปี สามเณรเนียม สามเณรวัฒนะ สามเณรประสิทธิ์ สามเณรสมชาย สามเณรศักดิ์ สามเณรสมคิด มี 7-8 องค์ อยู่ที่ศาลาทรงธรรม เปลี่ยนกัน แล้วก็มาพักผ่อนเอากลางวัน กลางคืนนั้นก็หลับสลึม สลือ ต้องพิงเสาหลับเอา
ในวันนี้ได้มาเห็นบรรยากาศในการอยู่ “เนสัชชิก” กับฟังธรรม ฟังธรรมกันตลอดคืน นับว่าเป็นการบำเพ็ญอายุวัฒนะของเจ้าอธิการพระมหาสามเรือน ปุญเญสโก ที่ท่านได้ทำในปีนี้ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ให้ญาติโยมได้บำเพ็ญธรรมะสวนามัย 5 กัณฑ์ กัณฑ์นี้เป็นกัณฑ์ที่ 3 กัณฑ์ที่ 3 ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างลงด้วยเลข 3 แม้สถาบันที่เรามีอยู่ก็เรียกว่า “สถาบันทั้ง 3” สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ แม้กระทั่งเตาไฟของคนโบราณ คนไทยเราก็มีก้อนเส้าอยู่ 3 เส้า กำลังตั้งหม้อแกง ตั้งหม้อข้าว ตั้งหม้อหุงข้าว ตั้งหม้อนึ่งข้าว ถ้ามี 2 เสา ก็เท่ากับไม้ไปพาดแล้วก็หามเอา 3 เส้านี่แหล่ะเป็นหลัก แม้กระทั่งพระรัตนตรัยก็มี 3 พุทธะรัตนะ ธรรมะรัตนะ สังฆะรัตนะ ในร่างกายของเรานี้ก็มี 3 หนึ่ง กายกรรม สอง วจีกรรม สาม มโนกรรม การทำกิจกรรมต่างๆทางกายเรียกว่า “กายกรรม” ทำกรรมคือทำการงานด้วยกาย ออกแรง เคลื่อนไหว เดินไปเดินมา วจีกรรม เรียกว่า การทำกิจกรรมด้วยวาจา ก็คือการกล่าว กล่าวโน้มน้าว กล่าวให้บุคคลทั้งหลายได้เข้าใจ ฟังแล้วจับใจ ชัดเจน ในคำกล่าว เรียกว่า “วาจา” ปากเป็นเอก เหมือนเสกมนต์ให้คนเชื่อ มีมโนกรรม คือ ความนึกคิด ความนึกคิดตัวนี้เป็น “ตัวจิต” เป็นตัวที่เป็นนาย ในความเป็นอยู่ของเรา เรามีกายกับจิต วาจาก็ออกมาจากจิต ทุกส่วนจึงลงตัวด้วยเลข 3
วัดอโศการาม มีระเบียบแล้วก็เป็นระบบสืบมา ด้วยการทำกิจกรรม ตอนเช้าเวลา 6 นาฬิกา ออกรับบิณฑบาต เวลา 7 นาฬิกา 30 นาที ฉัน และ 7 นาฬิกา 30 นาที ตีระฆัง 9 นาฬิกา ทำวัตรเช้า จบแล้วอ่านพระไตรปิฎก อ่านวินัย ต่อแต่นั้น ตอนบ่าย ถ้าเป็นวันธรรมสวนะ หรือ เป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ ก็จะมีกิจกรรมในภาคบ่าย ไปถึงบ่ายสี่โมง บ่ายสองโมงไปถึงบ่ายสี่โมง แล้วก็ทำวัตรเย็น แล้วก็ทำวัตรค่ำ 2 ทุ่มไปถึง 4 ทุ่ม วางระเบียบจนกระทั่งเป็นระบบ ตั้งแต่วัดอโศการามได้จัดกิจกรรมตั้งแต่ 2500 หรือก่อนนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นแบบอย่าง แม้กิจกรรมต่างๆ วัดอโศการามได้ทำเป็นแบบฉบับ มีกิจกรรมต่างๆตลอดเวลา ทำให้วัดต่างๆนำไปถือปฏิบัติ แล้วก็ได้ผล นี่ก็คือ สร้างระเบียบ แล้วก็กลายมาเป็นระบบ เมื่อเป็นระบบแล้ว ระบบมันก็จะพัฒนาของมันไปเอง เมื่อคนอยู่ในระบบ ทุกคนก็จะต้องสำนึก สำเหนียก สำนึก ระลึกเสมอว่า เรามีหน้าที่ใดๆอย่างนี้ เป็นต้น - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี