"ดิจิตอล ดิสรัปชั่น" (Digital Disruption) ปรากฎการณ์ที่พลิกโฉมโลกและไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ตั้งแต่ระบบการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมโดยเฉพาะอาชีพของคนไทยที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยคนไทยส่วนหนึ่งผันตัวเองตามความต้องการของตลาดแรงงาน เข้าสู่อาชีพในแวดวง "ไอที" และทำงานร่วมกับระบบเอไอ (AI : Artificial Intelligence)
ขณะที่ตัวแปรสำคัญทำให้ "ประเทศไทย" เข้าสู่โลกดิจิตอลเต็มตัว คือ การคืบคลานของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บนโลกใบนี้ทำให้เกิดปรากฎการณ์ "ช๊อก" ในหลายมิติ โดยเฉพาะในมิติของ "แรงงาน" ซึ่งสะเทือนไปทั่วโลก แม้กระทั่งประเทศไทยก็เช่นกัน
ความท้าทายในภาวะคนไทย “ตกงาน”
ภาวะคนไทยตกงานซึ่งได้รับผลกระทบมาจาก "ดิจิตอล ดิสรัปชั่น" ตั้งแต่ปี 2558 และ มีตัวแปรกระตุ้นให้มีภาวะคนตกงานมากขึ้นในช่วง "โควิด-19" เข้ามาระบาดในไทย แต่กลับเป็น “ความท้าทาย” ก้าวสำคัญของไทย ในด้านเศรษฐกิจที่จะต้องพยายามทำให้ภาวะคนตกงานคลี่คลายท่ามกลางโรคโควิด-19 ซึ่งยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
"เมธี สุภาพงษ์" รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร BOT "พระสยาม" MAGAZINE ถึงผลกระทบจากโควิด-19 ในมิติของแรงงาน ซึ่งเพิ่มความท้ายทายให้แรงงานไทยในการพัฒนาทักษะของตนเองว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับแรงงานไทย หลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย ผู้ว่างงานและผู้เสมือนว่างงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในช่วงวิกฤตอาจไม่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทั้งหมด เพราะในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด ธุรกิจเร่งปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งในส่วนระบบดิจิทัล (digitalization) และระบบอัตโนมัติ (automation) มาใช้ จึงทำให้สร้างผลพวงสำคัญคือ "ทำให้ความต้องการแรงงานลดลง" ขณะที่ทักษะแรงงานที่โลกธุรกิจยุคใหม่ต้องการก็เปลี่ยนไป
รองผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกแรกในไทยเริ่มขึ้นปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และรุนแรงขึ้นจนนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักทำให้ในไตรมาส 2 มีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 4 แสนคน เป็น 7.5 แสนคน และ "ผู้เสมือน ว่างงาน" ซึ่งหมายถึงแรงงานที่มีชั่วโมงทำงานต่ำกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 2 - 3 ล้านคน เป็น 5.4 ล้านคน รวมทั้งมีแรงงานที่เสี่ยงจะตกงานเพิ่มสูงถึง 4.7 ล้านคน ตัวเลขเหล่านี้จะสะท้อนกลับไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในมิติของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และประสิทธิภาพการผลิตของประเทศที่ลดลง (ข้อมูลของ "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" การกู้ยืมเงินภาคครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2564 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมียอดคงค้างหนี้ครัวเรือนขยับขึ้นมาอยู่ที่ 14.27 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDP)
ข้อมูลของ ธปท.ยังพบว่า ผู้ประกอบการอาชีพอิสระที่มีจำนวน 8.2 ล้านคน คาดว่าจะมีแรงงาน 6 แสนคนอยู่ในสภาวะว่างงาน และ อีก 3 ล้านคน มีรายได้ลดลงอย่างรุนแรง ภาวะ “โควิด-19” ที่เข้ามาดิสรัปชั่นประเทศไทย ยังเกิดภาวะแรงงานในเมืองผันตัวไปเป็นแรงงานภาคเกษตรกรรมในต่างจังหวัด อันเป็นผลมาจากการว่างงาน โดยข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่า ในเดือนมีนาคม ปี 2564 พบประชากรกลุ่มวัยทำงาน เป็นผู้ว่างงานกว่า 7.6 แสนคน และเป็นผู้เสมือนว่างงาน หรือทำงานในภาคเกษตรกว่า 4.3 ล้านคน และมีผู้ที่มีงานทำแต่ไม่ได้รับค่าจ้างกว่า 7.8 แสนคน
ในอนาคต เป็นตัวเลขกลมๆที่พอจะพยากรณ์ได้ว่า ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า ประเทศไทยยังอยู่ในทางปฏิบัติเพียง 2 ทาง และ เป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องทำในปัจจุบัน คือ 1.พัฒนาทักษะแรงงานให้เข้าสู่ตลาดดิจิตอลให้เร็วที่สุด และ 2.ยืนหยัดสนับสนุนแนวทางพระราชดำริ “เกษตรพอเพียง” ให้มีรายได้อย่างทั่วถึง และ ทั้งองคาพยพ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ
แรงงานไทยส่วนหนึ่งไม่กลับคืนสู่ระบบจ้างงาน หายเข้าระบบ “กิ๊ก อีโคโนมี่”
“บทเรียน” สำคัญที่ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง ไม่หวนกลับมาเป็นพนักงานประจำ คือ เมื่อบริษัทขนาดกลางถึงเล็กต้องปิดกิจการลงฉับพลันในภาวะโควิด-19 ทำให้ “ลูกจ้าง” ตระหนักถึง “ความไม่แน่นอน” ในการเป็นพนักงานประจำ และ เมื่อกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง ได้พบกับอาชีพเกษตรกรรม หรือ ค้าขายส่วนตัวในท้องถิ่น ซึ่งมีค่าครองชีพต่อวันเพียง 100 บาท ก็อยู่ได้ ด้วยการเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชผักสวนครัวมารับประทาน และ ไม่อยากได้ในสิ่งที่เป็นของฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นก็ทำให้ชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องหวนกลับมีชีวิตเป็นพนักงานประจำในเมืองหลวง ซึ่งมีค่าครองชีพที่สูง
อย่างเช่น “เพียงพิศ ลิวงษ์” ผันชีวิตตัวเองจากพนักงานเสิร์ฟที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มาเป็นเกษตรกรที่ จ.ขอนแก่น และ เข้าโครงการ “จ้างงานประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 1 (โครงการสร้างอาชีพ สร้างชีวิต สร้างชาติ)” ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงมีโอกาสเข้าอบรมหลักสูตรออนไลน์และพัฒนาทักษะต่าง ๆ อาทิ หลักสูตรเกษตรพอเพียง การออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ การวางแผนเกษียณอายุ และการวางแผนทางการเงิน เป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับเพื่อนบ้านและการเข้าร่วมอบรมโครงการ “จ้างงานประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 1 (โครงการสร้างอาชีพ สร้างชีวิต สร้างชาติ)” จึงนำความรู้มาทำโรงเลี้ยงไก่ซึ่งประสบความสำเร็จ ทำให้ไม่ต้องกลับไปเป็นลูกจ้างนอกจังหวัดบ้านเกิด
“ดิจิตอล ดิสรัปชั่น” ที่ถูกทับซ้อนด้วย “โควิด-19” เสมือนเป็นซับเซ็ททางคณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ และ เป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน จนเกิดกระแส “กิ๊ก อีโคโนมี่” (Gig Economy) หรือ การทำงานอิสระ โดยผู้รับงานอิสระได้ค่าจ้างเป็นโครงการ เป็นชิ้นงาน และ จบไป ซึ่งในปี 2562 สำนักงานสถิติแรงงานพบว่า แรงงานในสหรัฐอเมริกาถึง 55 ล้านคน อยู่ในระบบกิ๊ก และ มีกว่า 35% ของแรงงานทั้งหมดในสหรัฐฯ ส่วนในประเทศไทยนั้นรูปแบบงานอิสระถูกนำมาหารายได้เสริมสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย และ รองรับคนที่ต้องถูกออกจากงานอย่างฉับพลันจากพิษโควิด-19 เพราะฉะนั้นพื้นที่งานของ “กิ๊ก อีโคโนมี่” จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่งไม่หันกลับไปเป็นลูกจ้างอีกต่อไป
ผศ.ธารีทิพย์ ทากิ อาจารย์ประจำคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระบุว่า ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจและหลายสิ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต ระบบเศรษฐศาสตร์กิ๊กได้เปลี่ยนแบบจำลองธุรกิจเดิมและยกระดับสัดส่วนทางเศรษฐกิจใหม่ ส่งผลให้ผู้รับจ้างอิสระรายครั้งหรือกิ๊กขายแรงงานผ่านทางแอพลิเคชั่น หรือ แพลตฟอร์มถือเป็นแหล่งหางานสำคัญ ที่รวบรวมงานจำนวนมากไว้ให้เลือกรับงานตามอัธยาศัย บุคคลทั่วไปสามารถรับงานได้รวมทั้งพนักงานงานประจำที่ทำงานเต็มเวลาก็สามารถเลือกรับงานในวันหยุด หรือนอกเวลาการทำงานได้เช่นกัน ธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19 เกิด คือ ธุรกิจแท๊กซี่บริการโดยรถส่วนบุคคลของ Uber และธุรกิจที่พักโดยบ้านหรือคอนโดส่วนบุคคลของ Airbnb ถือเป็นการเปลี่ยนรูปแบบจำลองของธุรกิจอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่หมดสิ้นไป ธุรกิจรับจ้างอิสระรายครั้งหรือกิ๊กกลับเป็นที่สนใจและเติบโตขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งอาหารที่สร้างมูลค่ากว่า 94,385 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยละ 9.3 ในปี 2565
นายจ้างไทย SAVE ลูกจ้างช่วงโควิด-19
“โควิด-19” ระบาดระลอก 1 และ 2 เป็นตัวแปรให้สหรัฐอเมริกาเกิดปรากฎการณ์ “การลาออกครั้งใหญ่” โดยการศึกษาของ Stanford พบว่า บริษัทหลายแห่งที่มีสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่ดี หรือปฏิบัติกับพนักงานแบบไม่ดีนัก ทำให้คนอยากลาออกมากขึ้นเป็น 2 เท่า อย่างธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาลาออกไปเกือบ 650,000 คน
ด้วยเหตุนี้ในการระบาดของโควิดระลอกที่ 3 ในไทย เจ้าของกิจการจึงเลือกใช้วิธีไม่ปลดพนักงานแบบฉับพลันเหมือนช่วงแรกๆ และ ใช้วิธีลดจำนวนชั่วโมงทำงานลง และ พัฒนาศักยภาพแรงงานที่มีอยู่ในมือ โดย ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์ พร้อมทีมงาน ได้แก่ พรชนก เทพขาม, นันทนิตย์ ทองศรี ธนาคารแห่งประเทศไทย และ พัชยา เลาสุทแสน สำนักงานสถิติแห่งชาติ นำเสนอบทความ “ผลกระทบโควิด-19 ต่อแรงงานไทย” ในนิตยสาร “พระสยาม” ของ ธปท. โดยระบุว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาส แม้จะมีคนไทยที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำลง รวมถึงกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการหางานกว่า 2.6 แสนคนในไตรมาสสอง หากมองว่าคนเหล่านี้จะมีเวลาเหลือมากขึ้นจึงเป็นโอกาสให้สามารถยกระดับทักษะ upskill และปรับทักษะ reskill
โดยภาครัฐควรออกแบบนโยบายยกระดับศักยภาพแรงงานควบคู่ไปกับการให้เงินช่วยเหลือ ซึ่งจะไม่เพียงประคับประคองให้แรงงานอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤต แต่จะทำให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับทักษะใหม่ ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุคปกติใหม่ ผ่านการพิจารณาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของนายจ้าง และสามารถต่อยอดพื้นฐานทักษะของแรงงาน แล้วจึงจัดสรรสถาบันฝึกอบรมทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้แรงงานเข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งการออกแบบมาตรการเหล่านี้จะต้องอาศัยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงข้อมูลการศึกษา การทำงาน และการได้รับสวัสดิการจากภาครัฐ
รัฐจึงมีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยมุ่งเน้นการโอนเงินเยียวยาในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ซึ่งดำเนินการได้ครอบคลุม โดยผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ว่างงานจะได้รับเงินสิทธิประโยชน์และสำหรับผู้ประกันตนที่ยังมีงานทำแต่ได้รับผลกระทบจะสามารถใช้สิทธิ์เหตุสุดวิสัยซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิ์กว่า 800,000 รายในช่วงไตรมาสสอง สำหรับแรงงานนอกระบบประกันสังคมทั้งในและนอกภาคเกษตรต่างก็ได้รับเงินเยียวยาเช่นเดียวกัน ซึ่งแท้จริงแล้วแรงงานไทยยังอยู่ในระบบประกันสังคมเพียงหนึ่งในสามของแรงงานทั้งหมด ทำให้เมื่อเกิดเหตุวิกฤตภาครัฐจึงต้องใช้งบประมาณในการเยียวยาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการขยายขอบเขตโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคมให้แรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคมจะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของประเทศได้ในระยะยาว
ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่า “ดิจิตอล ดิสรัปชั่น” จะทำให้โลกเปลี่ยน ไทยเปลี่ยน มีผู้คนมากมายในเมืองหลวงตกงาน แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น ส่วนหนึ่งได้เริ่มชีวิตใหม่ในจังหวัดบ้านเกิด นี่เป็นข้อดีของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากการถูก “ดิจิตอล ดิสรัปชั่น” ซึ่งทำให้เกิดความอิสระในอาชีพใหม่ๆ บนพื้นที่ “กิ๊ก อีโคโนมี่” และ เกิดระบบการพัฒนาทักษะแรงงาน (up skill) เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรรมดิจิตอลเต็มตัว รวมทั้งการทำให้คนไทยหวนกลับมาคิดถึง “เกษตรพอเพียง” และแรงงานส่วนหนึ่งได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับพื้นที่เกษตรกรรมของครอบครัวซึ่งทำให้เกิดความความสุขและความอบอุ่นในสังคมไทยมากขึ้น - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี