(ต่อจากตอนที่แล้ว) ที่จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่มั่นและหลวงปู่เจี๊ยะ ได้เข้าพักที่วัดโพธิสมภรณ์ตามคำนิมนต์ของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ อยู่ตามควรแล้วท่านก็ปรารภไปพักที่ป่าช้าตามวิสัยของท่าน จึงได้เข้าพักที่ป่าช้าโนนนิเวศน์
*สดับธรรมในป่าช้า
หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า สมัยนั้นเป็นป่าช้าไม่ได้อยู่กลางเมืองอย่างนี้ เป็นที่ทิ้งศพโจรผู้ร้ายที่ถูกทางการฆ่าตาย หลวงปู่เจี๊ยะอยู่จำพรรษาร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่นที่เสนาสนะป่าโนนนิเวศน์เป็นพรรษาที่ ๒
ทุกๆวันมีประชาชนผู้เลื่อมใสเข้ามากราบไหว้ไม่ขาดสาย ตอนเย็นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแสดงธรรมภาคปฏิบัติให้แก่พระ เณรฟัง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เองท่านเดินทางมาฟังธรรมโดยสม่ำเสมอ
โดยการปฏิบัติของหลวงปู่เจี๊ยะในระยะนี้ได้บรรลุถึงผลอันน่าพึงใจ ไม่เสียดายอาลัยทุกสิ่งในโลก คำสอนของพระศาสดา ประจักษ์ใจ หายสงสัยลังเลเคลือบแคลงในพระธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า ซาบซึ้งในพระคุณของท่านพระอาจารย์มั่นที่สั่งสอนอบรมมา
หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า การที่ได้อยู่ปฏิบัติพระผู้ทรงคุณเช่นนี้ เป็นความโชคดีเหลือหลาย ได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่ละวันจะมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านพระอาจารย์ทั้งด้านภายนอกและภายในมาก ตาต้องดูท่านตลอดอย่าให้คลาดเคลื่อน หูต้องฟังท่านตลอด ไม่ว่าท่านจะพูดค่อยหรือแรง ใจต้องคิดตลอด
หลวงปู่เจี๊ยะอยู่จำพรรษาร่วมกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา ๒ พรรษา นับแต่จังหวัดเชียงใหม่มา พอออกพรรษาปีที่ ๒ แล้ว คณะศรัทธาทางจังหวัดสกลนคร มีคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ เป็นต้น ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของท่านพระอาจารย์มั่น พร้อมกันมาอาราธนานิมนต์ท่านให้ไปโปรดทางจังหวัดสกลนครซึ่งท่านเคยอยู่มาก่อน
ท่านยินดีรับอาราธนา คณะศรัทธาทั้งหลายต่างมีความยินดี พร้อมกันเอารถมารับท่านไปที่จังหวัดสกลนคร
ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงปู่เจี๊ยะจึงได้เดินทางติดตามท่านพระอาจารย์มั่น ไปพักที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนครด้วย ฉะนั้น ในระยะ ๓ ปีนี้ หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นพระอุปัฏฐากประจำ
*อุปัฏฐากพระอาจารย์เสาร์
เมื่อพระอาจารย์มั่นและหลวงปู่เจี๊ยะ เดินทางถึงสกลนครและพักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาสได้ ๒-๓ วัน หลวงปู่เสาร์ กฺนตสีโล ก็มีจดหมายมานิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่น
เนื่องจากหลวงปู่เสาร์ป่วยหนัก ท่านพระอาจารย์มั่นจึงมอบหมายให้ หลวงปู่เจี๊ยะเดินทางไปอุบลฯแทน เพื่อดูแลอุปัฏฐากในอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์และกราบเรียนตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งมา
หลวงปู่เจี๊ยะจึงออกเดินทางโดยรถยนต์ไปยังอุบลราชธานี และเดินเท้าไปพบกับหลวงปู่เสาร์ ที่วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยก่อนหน้าที่หลวงปู่ท่านจะมาถึงวัดดอนธาตุนั้น มีอยู่วันหนึ่งตอนบ่าย หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่ใต้โคนต้นยางใหญ่ พอดีขณะนั้น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งได้บินโฉบไปโฉบมาเพื่อหาเหยื่อ
จะด้วยกรรมแต่ปางใดของท่านไม่อาจทราบได้ เหยี่ยวได้บินมาโฉบเอารังผึ้ง ซึ่งอยู่บนต้นไม้ที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่พอดิบพอดี รวงผึ้งนั้นได้ขาดตกลงมาด้านข้างๆ กับที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่
ผึ้งได้รุมกันต่อยหลวงปู่หลายตัว จนท่านถึงกับต้องเข้าไปในมุ้งกลด พวกมันจึงพากันหนีไป จากเหตุการณ์ที่ผึ้งต่อยนั้นมา ทำให้หลวงปู่เสาร์ป่วยกระออดกระแอดมาโดยตลอด
เมื่อมาถึงวัดดอนธาตุได้ ๒-๓ วัน หลวงปู่เสาร์ท่านอาการหนักขึ้นโดยลำดับ อยู่ปฏิบัติท่านจนกระทั่งหายเป็นปกติดี
วัดดอนธาตุ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เนื้อที่ราวๆ ๑๓๐ ไร่ มีแม่น้ำมูลล้อมรอบ เป็นเกาะอยู่กลางน้ำ เป็นวัดที่ท่านหลวงเสาร์มาสร้างเป็นองค์แรก แต่ก่อนบางส่วนในบริเวณที่เป็นทุ่งนาชาวบ้านเมื่อหลวงปู่เสาร์ท่านภาวนา ญาติโยม เกิดความเลื่อมใสถวายเป็นที่วัดบริเวณเกาะกลางแม่น้ำมูลนี้จึงเป็นที่วัดทั้งหมด
หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า ตอนที่ตนมาหาหลวงปู่เสาร์ ท่านอยู่ที่นี่ท่านไม่ค่อยยเทศน์นักหรอก มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเข้าหาท่าน ดูแลท่านเรื่องอาพาธ เมื่อท่านหายป่วยร่างกายก็เรี่ยวแรง ญาติโยมจึงขอฟังเทศน์จากท่าน โดยกล่าวว่า“หลวงปู่เทศน์ให้ฟังหน่อย พวกขะน้อย (ฉัน)อยากฟังธรรม”
หลังจากท่านฉันเช้าเสร็จ พระอาจารย์ฯก็พูดว่า“ ทำให้ดู มันยังไม่ดู ปฏิบัติให้ดูอยู่ทุกวัน มันยังไม่ปฏิบัติตาม เทศน์ให้ฟังมันฟังหรือ?”
เมื่อหลวงปู่เสาร์พูดเสร็จ ท่านก็สั่งให้ พระอาจารย์ดี ฉันโน ผู้เป็นลูกศิษย์ที่นั่งเป็นลำดับต่อจากท่านไปเป็นองค์เทศน์ พระอาจารย์เสาร์ท่านมีปกติเป็นพระพูดน้อย ต่อยมาก ส่วนมากท่านทำให้ดูเพราะท่านมีคติว่า
“เขาจะเชื่อในสิ่งที่เราทำมากกว่าจะเชื่อในสิ่งที่พูด"
*ธุดงค์ดอนหลี่ผี
หลังจากหลวงปู่เสาร์ท่านหายจากอาพาธแล้ว ธาตุขันธ์กระปรี้กระเปร่า ท่านจึงเดินทางไปทำบุญอุทิศให้ท่านแดดัง ผู้เป็นอุปัชฌาย์ของท่านซึ่งอยู่ที่หลี่ผี ประเทศลาว ซึ่งตามปกตินั้น หลวงปู่เสาร์จะชอบออกธุดงค์ลงไปทางใต้นครจำปาศักดิ์ หลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุ เป็นประจำทุกปี
หลวงปู่เสาร์เดินทางล่วงหน้าไปประเทศลาวก่อน ส่วนหลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ติดตามไปทีหลัง ความจริงแล้วตนจะไม่ธุดงค์ติดตาม ท่านไปจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ตั้งใจว่าจะกลับสกลนครไปหาท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านโคก แต่เมื่อมานึกถึงคำสั่งของท่านพระอาจารย์มั่นก็ให้หวนรู้สึกประหวัดๆอยู่ในใจว่า “เจี๊ยะเอ้ย... ดูแลหลวงปู่เสาร์แทนผมให้ดีนะ ถึงการป่วย อาพาธของท่านจะหายก็อย่าได้ไว้วางใจเป็นอันขาด”
เมื่อเป็นดังนี้ หลวงปู่ท่านจึงจำเป็นต้องเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่เสาร์ไปประเทศลาว เพราะมีความมั่นใจในความรู้พิเศษของท่านพระอาจารย์มั่นว่า “ท่านต้องทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าในเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่นอน จึงกำชับให้เราดูแลหลวงปู่เสาร์เป็นอย่างดี”
โดยท่านพระอาจารย์มั่นเน้นว่า “อย่าได้ไว้วางใจ” เหมือนกับท่านบอกเป็นนัยๆ แต่ท่านไม่พูดตรงๆ จะเป็นการทำนายครูบาอาจารย์ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเคารพรักหลวงปู่เสาร์มาก ท่านไม่ทำเช่นนั้น...
หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า ขณะที่หลวงปู่เสาร์เดินทางล่วงหน้า ไปประเทศลาว นครจำปาศักดิ์ ทางฝ่ายเราหลวงปู่ท่าน และพระเพ็ง ผู้เป็นหลานของท่าน ครูบาแก้ว ครูบาเนียม และเณร กับผ้าขาวก็ออกเดินทางด้วยเท้า จากดอนธาตุ มุ่งไปยังเขตสุวรรณคีรี ริมแม่น้ำโขง ซึ่งใกล้กับปากแม่น้ำมูล และเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขง
หลวงปู่ท่านได้พาหมู่คณะพักค้างคืนที่บนภูเขาที่เขตสุวรรณคีรี ต่อมาได้มีผู้มานิมนต์ให้ไปพักอยู่ที่ใกล้ๆ กับแม่น้ำโขง เป็นที่มีป่าใหญ่มาก มีสัตว์นานาชนิด เช่น ช้าง เสือ หมี และในน้ำยังมีปลาโลมาน้ำจืดเสียงร้องดังเหมือนเสียงวัว อีกทั้งสถานที่นั้นยังเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเกรงกลัวมาก เพราะใครจะไปตัดต้นไม้ไม่ได้ หากตัดต้นไม้ก็จะมีอันเป็นไปคือเจ็บไข้ได้ป่วย
*โดนกับดักเสือในดงใหญ่
ในป่านั้นมีไม้ยางใหญ่ๆ เขาทำเป็นตะท้าวดักเสือ เมื่อเสือผ่านลอดเข้ามา ตะท้าวก็จะหล่นมาทุบเสือตาย หลวงปู่ท่านไม่รู้ไปยกเอาไม้ออก ต้นไม้ก็มาแทงเอาขาต้องเอาน้ำมันมาทา เดินไม่ได้ตั้งนาน เจ็บปวดมากไม่รู้ว่าเขาทำดักเสือ หลังจากนั้นก็พาหมู่คณะปฏิบัติพักอยู่ที่ป่าดงใหญ่นี้
พักได้ไม่นานนักได้นำคณะธุดงค์ไปยังนครจำปาศักดิ์ตามคำนิมนต์ของโยมคำตัน ในระหว่างนั่งเรือไปนครจำปาศักดิ์แล้วมุ่งตรงไปทางปากเซ-ปากซัน ปีนั้นน้ำเยอะเชี่ยวกรากมาก ล่องเรือไปตามกระแสน้ำ เรือมันจึงแล่นเร็วพอไปถึงตรงสะดือใหญ่ บังคับเรือไว้ไม่อยู่
หลวงปู่ท่านเล่าว่า “เรือหมุนติ้วๆ บึ้ดๆ ๆ งี้ มันหมุนตั้งยี่สิบรอบมั้ง วื้อๆ ๆ ถ้าเป็นเรือใหญ่มันก็หมุนสักเดี๋ยวก็ไปได้ แต่เราไปเรือพายเล็กๆ ถึงตรงสะดือน้ำก็หมุนเคว้งคว้าง เราก็ตะโกนบอกสั่งให้พวกฝีพายช่วยกันงัดเรือออกไปอีกด้านเราต้องใช้ไม้พายช่วยงัด จึงหลุดออกมาได้ ไม่งั้นตาย คนตายแยะตรงนี้ มันดูดลงไปตาย ถ้าเกิดล่มขึ้นมาเราอาจจะไม่ตาย เพราะเราว่ายน้ำเก่ง แต่มันต้องเอาจีวรออก ถ้าเอาออกไม่ทันก็ตายเหมือนกัน มันเป็นสะดือน้ำ หมุนวนน่ากลัว”
เมื่อเรือเลียบฝั่ง หลวงปู่เจี๊ยะได้พาพระเณรทั้งหมดไปพักยังวัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ มุ่งเพื่อจะไปให้ทันหลวงปู่เสาร์ แต่คลาดกัน หลวงปู่เสาร์ได้ธุดงค์ไปที่หลี่ผีก่อน
พักที่วัดอำมาตย์พอสมควรแล้ว ต่อจากนั้นได้ธุดงค์ต่อไปที่ห้วยสาหัว เขตนครจำปาศักดิ์ ห่างตัวเมืองราว 10 กว่ากิโลเมตร อยู่ที่นี่ราว ๔ เดือน เป็นหมู่บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยราว ๑๘ หลังคาเรือน ในการธุดงค์ครั้งนี้ หลวงปู่ท่านพักอยู่กับพระเพ็งเพียงสององค์เท่านั้น
*สิ้นพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
ในกาลต่อมา พระครูเม้าวัดอำมาตย์ให้คนถือจดหมายมาบอกให้ทราบว่า หลวงปู่เสาร์ป่วยหนักและท่านกำลังจะเดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงนครจําปาศักดิ์ ประมาณ ๕โมงเย็น ให้หลวงปู่เจี๊ยะกับพระเพ็ง ผู้เป็นหลานของหลวงปู่เสาร์ มารอรับเรือของท่าน หลวงปู่เสาร์จะมาถึงนครจำปาศักดิ์ ประมาณนี้
เมื่อเรือของหลวงปู่เสาร์มาถึง หลวงปู่ท่านพร้อมกับพระเพ็ง ก็ลงไปรับท่านหลวงปู่เสาร์ในเรือ พบว่าหลวงปู่เสาร์ท่านมีอาการหนักมาก จึงจัดเปลหามเข้าไปในวัดอำมาตย์ พาท่านเข้าไปในอุโบสถที่ทำด้วยไม้ ท่านก็ทำกิริยาให้ประคองท่านขึ้นกราบพระ หลวงปู่ท่านและพระเพ็งเราก็ประคองท่านขึ้นเพื่อกราบพระ
เมื่อกราบลงครั้งที่สาม สังเกตเห็นท่านกราบนานผิดปกติจึงจับชีพจรดูจึงรู้ว่าชีพจรไม่ทำงาน พระทั้งหลายที่อยู่ในพระอุโบสถ ก็ว่า “หลวงปู่เสาร์มรณภาพแล้วๆ
หลวงปู่ฯ จึงตะโกนพูดขึ้นว่า “ปู่ยังไม่มรณภาพ ตอนนี้เข้าปู่เข้าสมาธิอยู่ ใครไม่รู้เรื่องอย่าเข้ามายุ่ง”
จากนั้นหลวงปู่เจี๊ยะจึงพยุงหลวงปู่เสาร์จากอิริยาบถนั่งเป็นอิริยาบถนอน แต่ทำได้ยาก เพราะท่านมีอาการจะดับขันธ์อยู่แล้ว ขณะที่พยุงให้ท่านนอนลงนั้น สังเกตเห็นมีพระเณรนั่งร้องไห้อยู่หลายรูป หลวงปู่ท่านจึงไล่พระเณรเหล่านั้นออกไป
เมื่อหลวงปู่เสาร์เข้าสู่อิริยาบถนอน ท่านก็หายใจยาวๆ ๓ ครั้งแล้วท่านก็ถึงแก่กาลกิริยาโดยสงบ เมื่อเวลา ๑๗.๓๐ น. วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พศ๒๔๘๕ สิริอายุรวม ๘๓ ปี
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเล่าว่า "เราจึงได้จัดเรื่องงานศพทุกอย่างสุดสามารถ” ให้สมกับหน้าที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่นไว้ใจและมอบหมาย จัดแจงทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ส่งโทรเลขไปบอกคุณวิชิตที่จังหวัดอุบลราชธานี และหาครกใหญ่ๆมารองตำถ่าน
“เราถอดอังสะเหน็บเดี่ยว หาไม้ใหญ่ๆมายกตำๆ ตัวนี่ดำหมด ตำถ่านใส่โลงท่านเราตำเองทั้งหมด ถ่านนี้ใส่รองพื้นโลงเพื่อดูตดน้ำเหลืองไม่ให้เหม็น วางถ่านรองพื้นโลงเสร็จแล้วเอาผ้าปูขาวทับอีกทีหนึ่ง ถ่านต้องเลือกอย่าเอาที่แตกๆเวลาปูลงที่พื้นโลงให้ถ่านสูงประมาณ 1คืบ ใช้ถถ่านประมาณ 2กระสอบก็เพียงพอ”
“เมื่อตำถ่านเสร็จแล้วตัวดำหมดเลย เราลงโดดน้ำโขงตูม...ตูม... เราเป็นคนแข็งแรงทำอะไรคนอื่นทำไม่ทัน เมื่อเอาถ่านรองผ้าขาวปู ก็เอาศพท่านวางให้เรียบร้อยแล้วขอขมา ตั้งศพไว้ระยะหนึ่งให้ชาวจำปาศักดิ์มากราบบูชา”
เมื่อเห็นสมควรนำศพท่านลงเรือกลับอุบลฯข้ามฝั่งโขง แล้วต่อมาคุณวิชิต โกศัลวิตร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านกับพระเถระมีพระอาจารย์ทองเป็นต้น และญาติโยมชาวจังหวัดอุบลฯ ได้ขบวน รถยนต์ไปรับศพท่านกลับมายังจังหวัดอุบลราชธานี
ส่วนหลวงปู่ท่านเมื่อนำศพหลวงปู่เสาร์ลงเรือกลับอุบลฯแล้ว เดินธุดงค์จากประเทศลาวเข้าทางจังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ มาพักที่วัดพระอาจารย์ทอง อโลโก ศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงงปู่เสาร์ เดินต่อมาทางนครพนม สกลนคร เพื่อร่วมจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น และกราบเรียนเรื่องการมรณภาพของหลวงปู่เสาร์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นทราบ
...........................
ตามรอยพระอริยะเจ้า! "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง
(ติดตามตอนต่อไป)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี