ประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กล่าวในเวทีสาธารณะ หัวข้อ “สิทธิชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.)สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงปัญหาของกฎหมายทั้ง 2 ฉบับตามหัวข้อของงานตั้งแต่หลักคิดที่ใช่ในการร่างกฎหมาย
หนึ่งในตัวอย่างคือชุมชนในพื้นที่เทือกเขาบูโด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ประยงค์ ระบุว่า ร้อยละ 70 ของชุมชนบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ผู้คนตั้งถิ่นฐานมาก่อนการประกาศพื้นที่ป่าใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนอีกร้อยละ 30 อยู่มาก่อนปี 2542 ที่มีการประกาศอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี โดยมีภาพถ่ายทางอากาศเป็นหลักฐานยืนยัน แต่เมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับข้างต้นออกมา คนเหล่านี้ทั้งหมดมีสถานะเป็นผู้บุกรุกทันที และต้องไปขออนุญาตเพื่ออยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว ทั้งที่เป็นผู้อยู่มาก่อนมีกฎหมายบัญญัติ
ขณะที่ เรวดี ประเสริฐเจริญสุข ผู้แทนมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เล่าถึงผลกระทบของชุมชนชาวเล ว่า ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงขนาด ซึ่งคือเมื่อพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตอุทยาน การทำมาหากินก็จะขึ้นอยู่กับผู้ที่มารับตำแหน่งผู้บริหารอุทยาน ซึ่งก็มีทั้งที่อะลุ้มอล่วยให้ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่อุทยานทำมาหากินได้ต่อไปเพราะเห็นว่าอยู่มานาน และที่ไม่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ใดๆ ได้เลย เพราะมองมุมกฎหมายเป็นที่ตั้งไม่ได้คิดถึงมุมสิทธิชุมชนด้วย
“ในหลักการของเป้าหมายการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐก็พูดถึงเรื่องการจะต้องทำให้มันได้มีความมั่นคงทั้ง 17 เรื่อง มีรวมทั้งหมด ความยากจน สุขภาพ ในเรื่องงานอาชีพ เรื่องการศึกษา เรื่องการบริหารจัดการทรัพยากร เรื่องการที่จะลดความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริการจัดการน้ำซึ่งตรงนี้รัฐบาลรับรอง
ซึ่งการจะทำให้บรรลุตรงนี้ได้ มันไม่สามารถที่จะแยกอุทยานเป็นอุทยานโดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทที่เชื่อมโยงกันระหว่างอาหารการกิน สุขภาพอนามัย แล้วทั้งหมดนี้คือเขาจะไปหาอาหารมากินแล้วก็ขาย แล้วก็เป็นสวัสดิภาพ-สวัสดิการครอบครัว ดังนั้น การที่มาดำเนินการโดยไม่ทำให้เขาเข้าถึงทรัพยากร คิดว่ามันก็เป็นการขัดแย้งหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลก็ยอมรับมานานแล้ว” เรวดี กล่าว
เช่นเดียวกับ วิทวัส เทพสง ผู้ประสานงานเครือข่ายชาวเลอันดามัน กล่าวว่า วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ คือการอยู่อย่างอิสระไม่มีการจับจองความเป็นเจ้าของพื้นที่แต่เป็นระบบหมุนเวียนไม่ว่าการจับสัตว์น้ำในทะเลหรือการทำไร่หมุนเวียนบนผืนดิน เปลี่ยนที่ทำมาหากินไปตามรอบปีซึ่งก็จะมีทรัพยากรเกิดใหม่ทดแทน แต่การพัฒนาและการออกกฎหมายได้แยกกลุ่มชาติพันธุ์ออกจากธรรมชาติ โดยหากสังเกตท้ายประกาศของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่มีการกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ และขั้นตอนการร่างกฎหมายก็ไม่มีการสำรวจและสอบถามเสียก่อน
“เราบอกว่า พ.ร.บ.อุทยานฯ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ร.บ.ป่าชุมชน จะต้องคำนึงถึงปฏิญญาสากลสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง จะต้องคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ แล้วก็ตอนที่ พ.ร.บ.อุทยานฯ ออกมา ก็มีรัฐธรรมนูญมาตรา 70 แล้ว เรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ หรือว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ก็ไม่ได้เอารัฐธรรมนูญมาตรานี้เข้ามา มติคณะรัฐมนตรี 2 มิ.ย. 2553 เรื่องของชาวเล 3 ส.ค. 2553 ของชาวกะเหรี่ยง ไม่ได้เอามาคำนึงอยู่ในกฎหมายฉบับนี้ตามที่เราบอกไป” วิทวัส ระบุ
มุมมองภาคการเมือง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ปัจจุบันมาถึงจุดที่รัฐยอมรับว่ามีคนอยู่ในเขตที่ประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งในอดีตไม่เคยยอมรับและมุ่งใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นหลักโดยไม่รับฟังว่ามีคนอยู่มาก่อน กลายเป็นคดีความเกิดขึ้น แต่การยอมรับของรัฐผ่านการออกกฎหมาย2 ฉบับข้างต้น รวมถึงกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้อง เป็นความพยายามหาทางของรัฐโดยใช้คำว่าคนไร้ที่ทำกิน
ซึ่งปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคือ 1.จะยอมรับใครบ้าง 2.จะให้อยู่กันอย่างไร 3.ใครเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งภาคประชาชนมองว่าคนอยู่มาก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์ และคนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ประชาชนจึงมีสิทธิร่วมบริหารจัดการ ส่วนภาครัฐจะมองในมุมสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย หากไม่ทำจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ดังนั้นการทำให้ข้อเสนอของรัฐกับประชาชนอยู่ร่วมกันได้ จึงเป็นเรื่องการปรับวิธีคิดที่แต่เดิมถือว่ารัฐเป็นใหญ่และผู้อื่นไม่มีสิทธิมีส่วนร่วมบริการจัดการ
“จริงๆ ตั้งแต่เริ่มมีตัวกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้หรืออุทยาน ถ้าเราไปอ่านหนังสือเพชรพระอุมาซึ่งคุณพนมเทียนเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2507เขาได้วิพากษ์วิจารณ์ผ่านตัวเอก คือ รพินทร์ ไพรวัลย์ เรื่องตัวกฎหมายป่าไม้ เพราะก่อนหน้าที่คุณพนมเทียนจะเขียน ไม่มีกฎหมายเข้าไปบริหารจัดการป่า ป่ามีกฎของป่า คนที่อยู่ในป่าเขาปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับป่าได้ คุณพนมเทียนเขียนไว้ว่าการมีกฎหมายเข้ามามัน คือการเอาหลักเกณฑ์ของรัฐไปครอบวิถีชีวิตของคน และไม่ยอมรับวิถีชีวิตของคน เขาทำนายไว้เลยว่ามันจะมีปัญหาในอนาคต ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง” สาทิตย์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในขณะที่พ.ร.บ.อุทยานฯและ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ามุ่งคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ แต่รัฐธรรมนูญมุ่งคุ้มครองสิทธิชุมชนในการใช้และประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งหากพิจารณาตามหลักลำดับศักดิ์ของกฎหมาย สิทธิชุมชนจะอยู่เหนือการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติต้องสอดคล้องกับสิทธิชุมชน อย่างไรก็ตาม สิทธิชุมชนก็มีการกำหนดขอบเขตไว้เช่นกัน
“การที่จะอ้างสิทธิชุมชนก็ดี การใช้สิทธิชุมชนก็ดียกเป็นข้อต่อสู้ก็ดี จะทำได้ในกรอบ 2 ประการ 1.การใช้สิทธิ์นั้นต้องไม่ขัดแย้งกับหลักความสมดุลและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และ 2.การใช้สิทธิ์นั้นต้องใช้สิทธิ์โดยสุจริต ทางราชการพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิ์ที่ไม่สุจริตอันนี้ก็จะอ้างสิทธิชุมชนขึ้นเป็นประโยชน์แก่คนไม่ได้” รศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี