หมายเหตุ : เรียบเรียงจากการบรรยายหัวข้อ “พ่อแม่วัยรุ่นกับปัญหาความยากจนข้ามรุ่นของสังคมไทย” โดย ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ และกรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และอดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “สร้างการเรียนรู้ให้พ่อแม่วัยรุ่น เพื่อแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น”จัดโดย กสศ. เมื่อเร็วๆ นี้
อาจารย์สมพงษ์ เริ่มด้วยการเล่าย้อนประวัติการทำงานในแวดวงการศึกษา ผ่านเหตุการณ์สำคัญ เช่น ข้อถกเถียงว่าสมควรตั้งตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยในโรงเรียนหรือไม่ โดยในปี 2553-2555 พบข้อมูลที่น่าตกใจคือ ประเทศไทยมี “แม่วัยใส” หรือเด็กสาวที่ตั้งครรภ์ก่อนเวลาอันควร มากกว่า 120,000 คน เป็นที่ฮือฮาในสังคมมาก ณ เวลานั้น จนอาจเป็นประเทศที่พบแม่วัยใสมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้รัฐบาลเริ่มหาทางแก้ปัญหาอย่างจริง
“จะเห็นว่าปี 2563 ตัวเลขลดลงมาตามลำดับจนในที่สุดตอนนี้เหลือ 56,000 คน แต่ตัวเลขด้านเด็กอายุ 10-14 ปี จาก 3,700 คน ก็เหลือ 1,783 คน ฉะนั้นตัวเลขในปี 2569 เราจะตั้งเป้าหมายว่าจะต้องลดลงให้ได้มากที่สุด จนเหลือเด็กอายุ 10-14 ปี ซึ่งไม่น่าจะตั้งครรภ์ในเวลานี้ เหลือ 0.5 ต่อจำนวนประชากร 1,000 คน และในวัยรุ่นแล้ว อายุ 15-19 ปี เป้าหมายคือลดลงมาให้เหลือ 28.7 และเป้าหมายคือ 25 ต่อ 1,000ใกล้เคียงแล้ว” อาจารย์สมพงษ์ ระบุ
เมื่อลงลึกในรายละเอียด พบว่า “พื้นที่ชายแดนหรือพื้นที่อุตสาหกรรม มักพบแม่วัยใสจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ” เช่น จังหวัดในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอย่าง ฉะเชิงเทรา ระยอง รวมถึงที่ใกล้เคียงอย่าง ปราจีนบุรี หรือจังหวัดที่เป็นท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ “เคยมีการศึกษาพบว่า..ความเป็นแม่วัยใสสามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้” กล่าวคือ หากแม่ตั้งครรภ์ตั้งแต่วัยเรียน ในอนาคตเด็กสาวที่เป็นลูกของแม่ลักษณะนี้จะมีแนวโน้มตั้งครรภ์ในวัยเรียนด้วยเช่นกัน
อาจารย์สมพงษ์ ยกตัวอย่างหนึ่งที่ จ.ปราจีนบุรี เด็กสาวตั้งครรภ์และต้องออกจากโรงเรียนระหว่างที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.2 เด็กสาวรายนี้พบว่าลูกเกิดมาเป็นเพศหญิง
เมื่อไม่ได้เรียนก็เข้าสู่ชีวิตการทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งชีวิตแต่ละวันอยู่กับการทำงานตั้งเวลาปกติ 8 ชั่วโมงพ่วงด้วยล่วงเวลา (OT) กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำ ในเวลานั้น เด็กหญิงที่เกิดจากแม่วัยใส ค่อยๆ เติบโตเป็นสาว ซึ่งเมื่อไม่ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่เพราะแม่ต้องทำงานจนไม่มีเวลา ประกอบกับสภาพแวดล้อมรอบข้างก็ไม่ดีนัก บทสรุปคือ “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”ตั้งครรภ์ในวัยเรียนไม่ต่างจากแม่ตนเอง
จากข้อค้นพบนี้ “การแทรกแซงเพื่อตัดวงจรจึงมีความจำเป็น” โดยมีตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง เด็กสาวชั้น ม.ปลาย ในจังหวัดทางภาคเหนือ ปกติแล้วตั้งใจเรียน แต่วันหนึ่งก็ก้าวพลาดตั้งครรภ์ ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานร้านสะดวกซื้อ อย่างไรก็ตาม เด็กสาวรายนี้ได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น ทำให้สามารถกลับมาเรียนจนจบ ม.ปลาย และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้ พร้อมๆ กับเลี้ยงลูกไปด้วย
“เรื่องแม่วัยใสมันมีทั้งด้านซ้าย ถ้าเราไม่ช่วยเหลือ เด็กก็จะส่งต่อ ในขณะที่ถ้ามีการช่วยเหลือจากภาครัฐ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วยจากภาค NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน) ภาคประชาสังคมที่เข้าไปช่วยออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นลักษณะของการออกแบบที่เราเรียกว่า Family Center (ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง) เด็กก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น” อาจารย์สมพงษ์ กล่าว
ในปี 2563 กสศ. พบเด็กที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม 899 คน จากเด็กทั้งหมดราว 36,000 คน ที่ กสศ. ให้ความช่วยเหลือขณะเดียวกัน มีเยาวชนอายุ 15-24 ปี ที่ต้องออกจากระบบการศึกษาไปประมาณ 9 แสนคน ดังนั้นแล้วความคาดหวังเรื่องเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศก็ดี หรือการเตรียมพร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ก็ตาม คงเป็นไปได้อยาก หากยังมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากขนาดนี้ที่จบเพียงชั้นประถมหรือมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นได้เพียงแรงงานไร้ฝีมือ(Unskilled Labour) สุ่มเสี่ยงเป็นผู้มีรายได้น้อยไปตลอดชีวิต และมีความจนเป็นมรดกให้คนรุ่นถัดไป
อาจารย์สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ต้องเริ่มจาก “เยียวยาจิตใจ” เด็กคนหนึ่งต้องออกจากระบบการศึกษา ซ้ำร้ายครอบครัวและสังคมรอบข้างยังมองในแง่ลบ อีกทั้งต้องมีภาระในการเลี้ยงดูชีวิตใหม่ที่เกิดมาอีก จึงต้องเข้าใจพื้นฐานจิตใจ ให้ความรักและรับฟังปัญหาก่อน ขณะที่การออกแบบการศึกษาที่เรียกว่า Family Center นั้น หมายถึงการที่พ่อและแม่วัยรุ่น จะต้องไปด้วยกันได้ทั้งด้านการเลี้ยงลูก การทำงานและการศึกษา การฟื้นฟูคนกลุ่มนี้จะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงครอบครัวของพ่อแม่กลุ่มนี้ก็จะต้องมาช่วยเลี้ยงลูกด้วย
ดังนั้นการจัดการชีวิตครอบครัว จึงมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างครอบครัวของพ่อแม่วัยรุ่นที่พลาดพลั้งกับภาคประชาสังคม ส่วนด้านอาชีพนั้น เป็นการสนับสนุนให้ฝึกวิชาชีพระยะสั้น สามารถนำไปใช้ทำงานได้เร็ว โดย กสศ. จะมีทุนตั้งต้นให้ สุดท้ายเมื่อพ่อแม่วัยใสเริ่มมีอาชีพเลี้ยงตนเองและลูกที่เกิดมาได้ ไม่เป็นภาระใคร ทัศนคติจากสังคมรอบข้างก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันจะทำให้เกิดการนำพาครอบครัวไปสู่อนาคตที่ดี มีอาชีพ มีรายได้ มีเรื่องอะไรต่างๆ แล้วสุดท้ายมันจะตัดวงจรเรื่องความยากจนข้ามรุ่น การส่งต่อเรื่องแม่วัยใสไปสู่รุ่นลูกเขาได้” อาจารย์สมพงษ์ ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี