“HFSS” มาจากคำว่า foods & drinks “High” in “Fat” (saturated fat, transfat), “Sugar” or “Salt” (sodium) เป็นอาหารที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (Health Impact) หากบริโภคมากเกินไปจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเจ็บป่วยด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แน่นอนว่าการเจ็บป่วยย่อมส่งผลกระทบทางสังคม (Social Impact) เช่น ผู้ป่วยมีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตลดลง หรือหากเป็นเด็กก็อาจส่งผลต่อโอกาสด้านการศึกษา และทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) หมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ดูแลสุขภาพผู้ป่วยทั้งในระดับครัวเรือนและระดับชาติ
ย้อนไปในเดือน พ.ย. 2565 กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า อุบัติการณ์โรคเบาหวาน (ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs) ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี โดยในปี 2563 มีผู้ป่วยอยู่ในระบบทะเบียน 3.3 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 16,388 คน (อัตราตาย 25.1 ต่อประชากรแสนคน) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในการรักษาโรคเบาหวานเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งโรคเบาหวานยังเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ในกลุ่ม NCDs ด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรัง ฯลฯ
เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. 2566 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดบรรยายเรื่อง “สถานการณ์อาหาร HFSS ในท้องตลาด” โดยมีนักวิชาการของสถาบันฯ ผศ.ดร.สิรินทร์ยา พูลเกิด เป็นผู้บรรยาย โดยใช้ข้อมูลจาก “โครงการประเมินประสิทธิผลการใช้เกณฑ์จำแนกอาหารในรูปแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพของคนไทย” ที่ ม.มหิดล ทำร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , องค์กร DEAKIN , IPAN และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน
งานวิจัยนี้ใช้เกณฑ์ทั้งของไทย อาทิ เกณฑ์ของ “กรมอนามัย” พบอาหาร 12,750 รายการ แบ่งเป็น
กลุ่ม A (ดีต่อสุขภาพมากที่สุด) ร้อยละ 8.9 , กลุ่ม B (ไม่ผ่านเป็นบางเกณฑ์) ร้อยละ 14 , กลุ่ม C (อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ) ร้อยละ 9.4 และกลุ่มอาหารที่ห้ามทำการตลาด (Marketing Prohibited) ร้อยละ 67.6 ขณะที่เกณฑ์ “ฉลากทางเลือกสุขภาพ” ซึ่งได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารทั่วไปในท้องตลาด พบอาหาร 12,282 รายการ พบอาหารจำนวนน้อยมากที่ผ่านเกณฑ์ได้รับเครื่องหมายดังกล่าว
ส่วนเกณฑ์สากล อาทิ “WHO-SEARO” หรือคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบอาหาร 17,030 รายการ ซึ่งพบเช่นเดียวกันว่าอาหารส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ควรทำการตลาด (มีกลุ่มที่อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีมากเป็นพิเศษ มีเพียงกลุ่มผัก-ผลไม้สดและแช่แข็ง) หรือเกณฑ์ “NOVA” ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยเซา เปาโล ประเทศบราซิล และได้รับความสนใจในระดับโลกมากขึ้นในระยะหลังๆ
ซึ่งในเกณฑ์นี้ของ NOVA นี้พบอาหาร 17,058 รายการ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.6 อยู่ในกลุ่มแปรรูปพิเศษ
(Ultra-Processed) “เหตุที่ให้ความสำคัญกับการแปรรูป เพราะมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า อาหารกลุ่มแปรรูปพิเศษเชื่อมโยงกับกลุ่มโรค NCDs อย่างชัดเจน” ขณะที่อีกร้อยละ14.6 มีการแปรรูป แต่แตกต่างจากกลุ่มแปรรูปพิเศษคือแม้จะมีการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บแต่จะไม่ใช้สารปรุงแต่งใดๆ ทั้งนี้ อาหารประเภทลูกอม-ลูกกวาด และขนมหวาน จะอยู่ในกลุ่มแปรรูปพิเศษตามเกณฑ์ของ NOVA มากที่สุด
“หากนำทั้ง 4 เกณฑ์ มาวางบนจอเดียวกัน จะเห็นว่าสัดส่วนของอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น ถูกห้ามทำการตลาด หรืออยู่ในกลุ่ม C หรือ B (ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย) หรือไม่ Eligible (มีสิทธิ์) ได้รับฉลาก Healthier Choice (ทางเลือกสุขภาพ) แม้กระทั่งอยู่ในกลุ่ม Ultra-Processed Food (อาหารแปรรูปพิเศษ) จะพบว่าในท้องตลาดของเรา มากกว่า 70 เกิน 77% หรือสูงกว่า ถูกพิจารณาว่าเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ” ผศ.ดร.สิรินทร์ยา กล่าว
เมื่อวิเคราะห์ต่อไปว่ามีอาหารประเภทใดบ้างที่สามารถผ่านเกณฑ์พิจารณาทั้ง 4 เกณฑ์ข้างต้น โดยเลือกตัวอย่างอาหารมาจำนวน 10,486 รายการ พบมีที่ผ่านมาตรฐานครบทั้ง 4 เกณฑ์ เพียง 57 รายการเท่านั้น ในขณะที่ส่วนใหญ่ 7,076 รายการ ไม่ผ่านแม้แต่เกณฑ์เดียว โดยมี 2,117 รายการ ผ่านเพียง1 เกณฑ์, 885 รายการ ผ่าน 2 เกณฑ์ และ 351 รายการ ผ่าน 3 เกณฑ์
อย่างไรก็ตาม “ผลการศึกษานี้มีข้อจำกัด” อาทิ 1.เกณฑ์ของกรมอนามัย ณ เวลาที่ทำการศึกษายังเป็นเพียงฉบับร่างซึ่งหลังจากนั้นอาจมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม 2.วิเคราะห์เพียงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มประเภทบรรจุหีบห่อและให้ข้อมูลส่วนประกอบอาหารครบถ้วน ไม่ครอบคลุมถึงอาหารบรรจุหีบห่อที่ไม่ระบุส่วนประกอบอาหาร รวมถึงอาหารปรุงสด และ 3.ข้อมูลที่หาได้ล่าสุดถูกรวบรวมไว้เมื่อปี 2564 ดังนั้นในปัจจุบัน (ปี 2566) ตลาดอาหารอาจเปลี่ยนไปและต้องศึกษาเพิ่มเติม
“โดยสรุปก็คือ มากกว่า 77% ของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ขายในท้องตลาดเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จากที่ใช้เกณฑ์ทั้ง 4 เกณฑ์ แล้วก็มีเพียง 5% ที่เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพจริงๆ เมื่อเราเอาเกณฑ์ทั้ง 4 เกณฑ์มาตัดพร้อมกัน และที่สำคัญคือเกณฑ์ ด้วยความที่เราดึงมา มีเกณฑ์ไหนที่ประเทศไทยใช้หรือในต่างประเทศเขากำลังใช้กันอยู่ แต่ละระบบ แต่ละเกณฑ์มันมีฐานคิด มีเกณฑ์ที่ใช้ตัดมีความแตกต่างกัน
ดังนั้นผลที่ได้ออกมาถึงจำนวน Healthy Product (ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ) มันก็มีความแตกต่างกันด้วย บางเกณฑ์
ก็ดูเฉพาะปริมาณพลังงาน สารอาหาร แต่บางเกณฑ์ก็เน้นดูขั้นตอนการแปรรูปและการใส่วัตถุดิบเจือปนอาหาร ดังนั้น การสรุปหรือนำผลไปใช้ก็ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้” ผศ.ดร.สิรินทร์ยา ระบุ
สำหรับ “ข้อเสนอแนะ” จากผลการศึกษา 1.มีกลไกติดตามและประเมินคุณภาพอาหารอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายได้ทราบสถานการณ์คุณภาพอาหารในท้องตลาด 2.เกณฑ์มาตรฐานมีคุณสมบัติใช้ประเมินคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ดีต่อสุชภาพได้อย่างแม่นยำ ทำให้เห็นว่าคุณภาพอาหารที่บริโภคกันในท้องตลาดเป็นอย่างไรบ้าง
และ 3.มีนโยบายและมาตรการควบคุมการผลิตและจำหน่ายอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งในทางกลับกันก็ต้องมี
นโยบายและมาตรการส่งเสริมเพื่อจูงใจผู้ประกอบการให้ผลิตและจำหน่ายอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังต้องให้ความรู้ด้านอาหารกับผู้บริโภค ทั้งนี้ “เมื่อพูดถึงอาหารต้องมองให้ครบทั้งระบบ” หรือ from Farm to Table (จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร) ต้องเข้าใจที่มา-ที่ไปของอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภค
“มันมีทั้งเริ่มจากกระบวนการผลิต แปรรูป ขนส่ง การค้าปลีก การขายในระดับร้านอาหาร ดังนั้น มาตรการหนึ่งเดียวคงไม่สามารถใช้ในการจัดการประเด็นนี้ได้ แต่มันอาจจะต้องย้อนกลับไปถึงเส้นทางที่กว่าจะมาเป็นอาหาร” ผศ.ดร.สิรินทร์ยา กล่าวในตอนท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี