“ถูกมองเป็นที่ลบ ทุกวันนี้ก็ยังถูกมองแบบนั้น น้องๆ หลายคนก็ยังไม่อยากลงชุมชนเพราะกลัว เป็นแหล่งเสื่อมโทรม เป็นที่อยู่อาชญากร เป็นจุดที่เป็นอุปสรรคปัญหาต่างๆ จะถูกมองแบบนั้น แต่อยากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ทุกที่ ถ้าเราดูปัจจุบันทุกวันนี้เวลาเขาจับยาลอตใหญ่ๆ จับอาวุธสงครามจับที่ไหน?ที่ชุมชนหรือบ้านคนมีเงิน? อาชญากรฟอกเงินทั้งหลาย จับที่ไหน? ใช่ชุมชนไหม?”
วรรณา แก้วชาติ ผู้ประสานงานโครงการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) บรรยายเรื่อง “การพัฒนาคนจนเมืองและคนในชุมชนแออัด” ที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มต้นด้วยการฉายภาพ
“มุมมองต่อคนภายนอกที่มีต่อชุมชนแออัด” ที่ยังคงเห็นแต่ “แง่ลบ” มาตั้งแต่เมื่อสังคมเริ่มให้ความสนใจกับประเด็นนี้ โดยชุมชนแออัดหรือที่ในอดีตนิยมเรียกว่า “สลัม” นั้นเกิดขึ้นมาจากยุคสมัยของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนในชนบทจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาหางานทำในเมือง
การบรรยายครั้งนี้จัดขึ้นโดยหลักสูตรสาขาวิชาพัฒนามนุษย์และสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วรรณา บอกเล่าประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของชุมชนแออัดในประเทศไทย จากเหตุปัจจัย 1.การล่มสลายของสังคมเกษตรกรรม เนื่องด้วยสินค้าเกษตรมีราคาต่ำ หรือหลายคนเมื่อเกิดวิกฤตในชีวิต อาทิ สมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย ซึ่งในอดีตยังไม่มีระบบสวัสดิการสังคมใดๆ ก็ทำให้ต้องตัดสินใจขายที่ดินเพื่อนำเงินมาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล
2.การเก็งกำไรที่ดิน หลายคนเคยมีที่ดินแต่ไม่ได้มีมากและมูลค่าก็ไม่ได้สูงนัก แต่ก็ตัดสินใจขายให้กับผู้ที่มีทุนมากแล้วไปกว้านซื้อมาเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร 3.การขายตัวของเมือง จากศูนย์กลางออกไปรอบนอกตามเส้นทางการพัฒนา นั่นทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า “ถนนตัดผ่านที่ใดที่ดินที่นั่นก็มีค่า” การขยายตัวนี้ยังก่อให้เกิดความต้องการจ้างงานมากขึ้น ทำให้คนจากชนบทตัดสินใจเข้าเมือง เช่น กรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ
โดยงานในยุคแรกๆ ของแรงงานอพยพจากชนบทสู่เมือง จะเป็นงานที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาสูงอาทิ คนงานในโรงงาน คนงานก่อสร้าง พนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือมาค้าขายสินค้าริมทางแบบหาบเร่แผงลอย เป็นต้น 4.การเป็นผู้มีรายได้น้อย เพื่อต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย แรงงานอพยพจึงเลือกหาที่พักอาศัยแบบง่ายๆ “ตรงไหนที่ว่างก็สร้างบ้านอยู่” ตั้งแต่ใต้สะพานไปจนถึงที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ว่าของรัฐหรือเอกชน ซึ่งเมื่อคนคนหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่งสร้างบ้านได้ ก็จะมีการชักชวนให้คนอื่นๆ เข้ามาด้วยจนกลายเป็นชุมชน
“เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของที่เขาจะเอาที่คืน ก็จะเป็นเรื่องคดีความ เป็นเรื่องการแจ้งจับ ไล่รื้อ แต่ไม่เคยมีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม สมัยก่อนไม่มี ไล่แล้วต่างคนต่างไป ไม่มีเรื่องโครงการบ้านมั่นคง ไม่มีอะไรเข้ามา เขาถือว่าเราคือผู้บุกรุก แต่ชุมชนเราจะบอกว่าเราคือผู้บุกเบิก เพราะจากที่มันเป็นหนองน้ำ ชาวบ้านก็ค่อยๆ ถมจนมันเต็ม จากต้นไม้รกร้างมันก็ไม่รกร้างมีน้ำประปาเข้าไป ถึงมันจะไม่ถาวรแต่มันก็สามารถทำให้ที่ดินของเขาถูกพัฒนาขึ้น” วรรณา กล่าว
ที่ผ่านมามีความพยายามจากภาครัฐในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด เช่น “การให้ทะเบียนบ้านชั่วคราว” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต อาทิ สามารถขอใช้บริการไฟฟ้า-น้ำประปา การเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชนในชุมชน ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจกับเจ้าของที่ดินว่าไม่มีผลใดๆ กับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือ “การหาพื้นที่ใหม่เพื่อย้ายชุมชนออกไป” โดยสำหรับกรุงเทพฯ มักจะเป็นย่านชานเมืองฝั่งตะวันออก อันประกอบด้วยเขตลาดกระบัง มีนบุรีและหนองจอก
“แต่การปรับตัวเข้ากับที่อยู่ใหม่ก็ไม่ง่าย” วรรณา กล่าวว่า ในยุคแรกๆ ของการย้ายชุมชน พื้นที่อย่างหนองจอกหรือลาดกระบัง ไม่มีระบบขนส่งมวลชนเพียงพอและทั่วถึง ทำให้ชาวชุมชนต้องมีรถยนต์ส่วนตัวใช้เอง ซึ่งนั่นหมายถึงภาระหนี้สินในการซื้อรถ รวมถึงต้องมีค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงอีกทั้งยังไม่มีอาชีพรองรับในพื้นที่ชุมชนใหม่ กลายเป็นแรงกดดันให้คนจำนวนไม่น้อยหาทางกลับเข้ามาสร้างชุมชนในเขตเมืองชั้นในเหมือนเดิม
หรือบางส่วนหางานทำในโรงงานได้ แต่ส่วนที่หาไม่ได้ก็ต้องดิ้นรน เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยที่กลุ่มจะมีรถ 1 คันขับตระเวนพาสมาชิกไปทำงานตามที่ต่างๆ ซึ่งการไปอยู่นอกเมืองความสะดวกในการว่าจ้างจะน้อยกว่าอยู่ในเมือง หรือกลุ่มหาบเร่แผงลอย ที่ผู้ค้าต้องเดินทางไกลพร้อมหอบข้าวของจากนอกเมืองเข้ามาตั้งแผงค้าในเมือง อนึ่ง “นับวันราคาที่ดินมีแต่จะแพงขึ้น” แม้กระทั่งในย่านชานเมือง อาทิ ในเขตหนองจอก ที่ดินบริเวณ ถ.สุวินทวงศ์ ในปี 2554 ราคาอยู่ที่ 4 แสนบาทต่อไร่ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 4 ล้านบาทต่อไร่ การย้ายจึงอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
ดังนั้นแล้ว “ถึงเวลาที่รัฐต้องเปลี่ยนแนวคิดสู่การทำให้คนจนเมืองสามารถอยู่อาศัยในเมืองได้” ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว “รัฐมีที่ดินในความดูแลจำนวนมาก” เช่น ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ที่สาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ดังนั้น “ควรมีสมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยกับการหารายได้เข้ารัฐเพื่อนำไปพัฒนาบริการสาธารณะ” ในแนวคิดการพัฒนาที่ดินของรัฐ ซึ่งหลายพื้นที่ปัจจุบันก็ยังมีข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน และอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อหาทางออก
“คุณทำธุรกิจเพื่อที่จะไปอุดช่องโหว่หรือช่องว่างของการที่จะพัฒนาของคุณได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ให้สำหรับคนที่ยังด้อยโอกาสหรือยังขาดในปัญหาที่อยู่อาศัยได้ และเราไมได้บอกว่าการเช่าที่ของคนจนขึ้นราคาไม่ได้ เขาขึ้นราคานะ ไม่ใช่ 20 บาทตลอด 30 ปี ขึ้นทุกปี แต่มันจะมีเปอร์เซ็นต์การขึ้น มันจะมีเพดานสูงสุดว่าขึ้นได้ไม่เกินกี่บาท แปลงหนึ่งของการรถไฟ ที่เราทำงานอยู่แถวคลองตัน 1 แปลงเขาจะจ่ายค่าที่ดินอยู่ปีหนึ่งประมาณ 1,200-1,500 บาท ก็ไม่น้อยเหมือนกันกับเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวา แค่ที่อยู่อาศัย
แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องไปดูว่าธุรกิจบางอย่างที่มันทำมูลค่า เขาได้กำไรเยอะๆ ค่าเช่ามันก็ไมได้ต่างจากชุมชนเยอะ อันนั้นก็ต้องไปดูหรือเปล่าว่ามันต้องจัดให้มีความเหมาะสมในการที่จะพัฒนาพื้นที่ อันไหนพัฒนาได้ก็พัฒนา คือพอไปดูระบบโครงสร้างหรือระบบที่ให้คนเข้ามาสัมปทานเองมันก็มีช่องโหว่ รัฐเองก็ไม่ได้เก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หลายอย่างมันก็เอื้อกลุ่มทุนอยู่เหมือนกัน แต่ในขณะที่ชุมชนเป็นปัญหาใหญ่ในการที่ไม่มีช่องที่จะให้มาช่วยพัฒนาหรือสนับสนุนเขา”วรรณา ให้ความเห็น
ผู้ประสานงานโครงการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ยังกล่าวถึงโครงการ “บ้านมั่นคง” ด้วยว่า “ควรเป็นบ้านตามความสามารถไม่ใช่บ้านจัดสรร” กล่าวคือ รัฐควรเปิดช่องให้ออกแบบการก่อสร้างได้อย่างยืดหยุ่นหลากหลายไม่ใช่เป็นรูปแบบเดียว อาทิ ชุมชนเดิมอาจเป็นบ้านไม้ ถือว่ามีวัสดุเดิมอยู่แล้ว น่าจะให้รื้อไม้เหล่านั้นมาใช้เป็นส่วนประกอบของบ้านหลังใหม่ได้เพื่อลดภาระหนี้สิน อาทิ จากที่ต้องกู้เงิน 3-4 แสนบาท อาจเหลือเพียง 1 แสนบาท ก็จะช่วยให้คนรายได้น้อยมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ลดความเสี่ยง “บ้านหลุดมือ” เมื่อชีวิตเจอวิกฤต!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี