นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ว่า ภาคธุรกิจกำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังซบเซามานานหลายปีจากวิกฤตโควิด-19 และปัญหาเรื้อรังของภาคธุรกิจ กลุ่มSMEs จำนวนมาก คือ การเข้าถึงแหล่งทุนทั้งทุนหมุนเวียนระยะสั้น และระยะยาว เพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มทุน ฟื้นกิจการ รวมทั้งเริ่มต้นกิจการ นายสรรเพชญ จึงเห็นโอกาสในการยกระดับเมือง “หาดใหญ่” สู่ “ศูนย์กลางการเงิน” แห่งใหม่ของภูมิภาค
“การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ราคาถูก ทั้งเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นและเงินทุนระยะยาว มันเป็นปัญหามายาวนาน และกลายเป็นข้อจำกัด โดยเฉพาะกับกลุ่ม SMEs และ Start Up เพราะต้องยอมรับว่าการเริ่มต้นนับหนึ่งทางธุรกิจมันไม่ง่ายในภาวะปัจจุบันจึงคิดต่อว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? มันก็มีหลายข้อเสนอ หลายแนวทาง แต่ผมคิดว่าข้อเสนอให้ยกระดับหาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่เทียบเท่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกงนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะหาดใหญ่ ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีต้นทุนสูง หากผลักดันให้สำเร็จมันจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาคใต้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด”
นายสรรเพชญ ยังให้ความเห็นต่อว่า “พลวัตของหาดใหญ่ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า เมืองเติบโตมาจากการค้า การลงทุน จนส่งผลให้หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ ประกอบกับทำเลที่ตั้ง” ซึ่งนายสรรเพชญ มองว่าเป็นความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งยังเป็นเมืองด่านชายแดน ที่มีมูลค่าการค้าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย ในปี 2565 มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.76 ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์ นอกจากนี้เศรษฐกิจหาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ ยังขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว ดังจะเห็นได้ว่าปี 2565 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
นอกจากนี้ “หาดใหญ่” ยังเป็นศูนย์กลางการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ในปัจจุบัน ที่รายล้อมไปด้วยระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายรูปแบบ มากไปกว่านั้น หาดใหญ่ยังตั้งอยู่ในเขตการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายคือ อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia -Malaysia - Thailand Growth Triangle : IMT -GT) โดยในปี 2565 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 727 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราว 2.58 แสนล้านบาท) รวมทั้ง IMT -GT ยังประกอบด้วยแผนงานการลงทุน Megaproject ในอนาคตที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ให้กับพื้นที่ภาคใต้อีกหลายโครงการ เช่น โครงการมอเตอร์เวย์หาดใหญ่ - สะเดา โครงการ Land Bridge ชุมพร - ระนอง เป็นต้น”
“มันเป็นไปได้ครับ หากจะผลักดันหาดใหญ่ ให้เทียบเท่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เพราะประวัติศาสตร์ของหาดใหญ่ มันบอกเราเช่นนั้น แต่ผมอยากให้ดูความได้เปรียบ เทียบจากต้นทุนที่เรามีซึ่งหาจากเมืองอื่นไม่ได้เรานึกภาพ เมื่อไปสิงคโปร์ ฮ่องกง ตัวเลือกเราแทบจะน้อยสำหรับการท่องเที่ยว และพักผ่อน แต่หาดใหญ่ มองซ้าย มองขวา โดนขนาบข้างด้วยอันดามัน และอ่าวไทย มีเขตอารยธรรมสามจังหวัด ขึ้นเหนือ มีอารยธรรมศรีวิชัย เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรม และธรรมชาติอยู่รอบๆ 360 องศา
ตรงนี้ สำหรับผมมันคือ ความได้เปรียบ มากไปกว่านั้น หากเราดูแนวโน้มการพัฒนาในภูมิภาค จะเห็นว่า หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของเขตการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นเมืองการค้าชายแดนที่มีมูลค่าการค้ากว่าปีละหลายแสนล้านบาท ในปี 2565 มีมูลค่าการค้ากับมาเลเซียราว 3 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าชายแดนของไทย กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด โดยผ่านทางด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์เสียเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ หาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ ยังถือเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวมาเลเซียอีกจำนวนมาก ในปี 2565มีจำนวนกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นอันดับหนึ่งของต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในไทย ซึ่งในแต่ละเทศกาล กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียสร้างเงินสะพัดกว่า 1 พันล้านบาท
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า “หาดใหญ่” ตั้งอยู่ในเขตการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 2.5 แสนล้านบาท ในปี 2565 และยังมีแผนงานลงทุน Megaproject อีกจำนวนมากในอนาคต เช่น มอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา หรือ Land Bridge ชุมพร-ระนอง ตัวอย่างที่ยกไปทั้งหมด เพื่อจะบอกว่า ทำไมหาดใหญ่จึงเหมาะสม สำหรับเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ในภูมิภาค และนี่มันเป็นความได้เปรียบ เป็นต้นทุนที่เรามี” นายสรรเพชญ มองความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นของพื้นที่หาดใหญ่
สำหรับการผลักดันหาดใหญ่ สู่เมืองศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาค นั้น นายสรรเพชญ เห็นว่าจำเป็นต้องมี “3 พร้อม” คือ สภาพแวดล้อมพร้อม โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และบุคลากรพร้อม ขณะเดียวกันยังเห็นถึงความจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐอย่างสภาพัฒน์ และแบงก์ชาติ จะเข้ามาร่วมผลักดันในเรื่องนี้
“การผลักดันให้หาดใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางการเงิน ผมเห็นว่าเราต้องมี “3 พร้อม” เป็นอย่างน้อย คือ
“สภาพแวดล้อมพร้อม” หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามา ตรงนี้จำเป็นต้องปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ตั้งแต่การปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การลดขั้นตอนซ้ำซ้อน การคิดเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี การคุ้มครองและสิทธิประโยชน์อื่นๆ จากการประกอบธุรกิจ
ประการที่สอง “โครงสร้างพื้นฐานพร้อม” โครงสร้างพื้นฐาน ที่หมายถึงโครงสร้างเมือง ถนนหนทางการสัญจร และโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน
ประการสุดท้ายคือ “บุคลากรพร้อม” เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะด้าน ซึ่งในพื้นที่เรามีสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำรองรับการผลิตแรงงานอยู่แล้ว
ส่วนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ผมเห็นว่า หาดใหญ่ มีความพร้อมเป็นทุนเดิม และหากต้องพัฒนาต่อยอด ภาคเอกชนเขาก็พร้อมจะลงทุน เมื่อคิดอย่างรอบด้าน หาดใหญ่จึงเป็นเมืองที่มีความพร้อมในทุกมิติ ยังคงขาดแต่นโยบายผลักดันที่เอาจริงเอาจังเท่านั้น หากฝ่ายบริหารเอาด้วย การแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก และเมื่อทุนมากองอยู่ที่หาดใหญ่ มันจะทำให้ธุรกิจน้อยใหญ่ กลุ่ม SMEs มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเกิดการพัฒนา และขยายตัวตามไปด้วย
“ผมเชื่อว่าศูนย์กลางการเงินนี้ มันจะนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเงินในอนาคต ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล สุดท้ายนะครับ ผมอยากฝากให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ด้านการเงินอย่างสภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมผลักดัน ศึกษาแนวทางในเรื่องนี้ด้วย” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี