23 ก.พ. 2566 เป็นวันที่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565มีผลบังคับใช้ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2565 ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่คือ “หนึ่งในหมุดหมายครั้งสำคัญของกระบวนการยุติธรรมใประเทศไทย” จากความพยายามผลักดันกฎหมายดังกล่าวมานานเพื่อ “ป้องปราม” การใช้ “อำนาจเถื่อน” ของเจ้าหน้าที่รัฐ กระทั่งมาเกิดคดี “ถุงดำคลุมหัว” เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 คลิปวีดีโอเผยให้เห็นวินาทีอันโหดร้ายปรากฏต่อสายตาคนทั้งประเทศ ทำให้กฎหมายถูกผ่านออกมาบังคับใช้ได้ในที่สุด
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดเสวนาหัวข้อ “ก้าวต่อไปกับการป้องกันการทรมาน” เนื่องในโอกาสครบ 1 ปีที่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้ โดย อัรฟาน ดอเลาะ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายใหม่ ในขณะที่เด็กและเยาวชนเผชิญกับการกระทำที่ส่งผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ เช่น ถูกครูตีหรือกล้อนผมประจานต่อหน้าเพื่อนๆ
ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่มีการชี้เป็นบรรทัดฐานว่า การกระทำเหล่านี้เข้าข่ายผิดกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ ขณะที่เรื่องของการสื่อสารจากภาครัฐต่อเด็กและเยาวชนก็ยังไม่ตอบโจทย์ในประเด็นนี้ เช่น อาจมีความเป็นวิชาการมากเกินไป ทั้งนี้ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่มีกฎหมายรับรอง คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2550 มีหน่วยงานในเครือข่ายเกือบ7,000 แห่ง กระจายทุกตำบล ยังพยายามสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
“เรามองว่าเด็กและเยาวชนมีความรู้และตระหนักรู้ในประเด็นนี้ จะสามารถเป็นกระบอกเสียงและสามารถสื่อสารกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ของเขาได้ เราก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเองพื้นที่หลายๆ พื้นที่ พื้นที่ห่างไกลเองก็ยังมีประสบเจอปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาติพันธุ์ เด็กที่เป็นแรงงานข้ามชาติที่เขาไม่ได้มีสัญชาติหรือไม่ได้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายเรามองว่าเขาก็คือเด็กคนหนึ่งที่ไม่ควรถูกทรมานหรืออุ้มหายจากรัฐหรือจากขบวนการค้ามนุษย์” รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าว
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ปัจจุบันค่อนข้างจะยอมรับแล้วว่ามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมนั้นสูงขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าสำหรับประเทศไทยนั้นมีความทัดเทียมสากล อีกทั้งยังนำหน้าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ไทยอาจถูกถามว่าเป็นไปได้อย่างไร เช่น การผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
หรือการที่สำนักงานอัยการสูงสุดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายขึ้น รวมถึงฝ่ายปกครองที่ใกล้ชิดกับประชาชนก็ตั้งศูนย์ระดับตำบลอย่างไรก็ตาม การป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย วิธีการที่ดีและเป็นประโยชน์ที่สุดคือการรับฟังผู้เสียหาย ซึ่งก่อนที่จะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 นั้น การรับฟังผู้เสียหายของหน่วยงานรัฐต้องเรียกว่าปิดประตู-ปิดหู-ปิดตา ไม่ประสงค์ที่จะได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากญาติผู้เสียหายเมื่อจะไปร้องเรียนว่ามีคนในครอบครัวถูกจับและถูกนำไปควบคุมตัวในที่ลับ เจ้าหน้าที่มักจะบอกให้ไปหาพยานหลักฐานมา แต่นั่นคือเรื่องในอดีต ปัจจุบันตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 กำหนดอำนาจหน้าที่ของ 4 หน่วยงาน คือ อัยการ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งตนก็หวังว่าเจ้าหน้าที่ของทั้ง 4 หน่วยงาน จะให้ความสำคัญกับการรับฟัง เพราะการร้องเรียนก็ถือเป็นสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล
“ก็หวังว่าหน่วยงานทั้งหลายตามมาตรฐาน พ.ร.บ. ฉบับนี้ซึ่งเป็นเรื่องของหลักการสากล จะต้องไม่เรียกร้องขอพยานหลักฐาน อาจจะต้องรับฟังก่อน แล้วการรับฟังและการบันทึกไว้ของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่ากรณีร้องเรียนจะมีหรือไม่มีมูลจะเข้าหรือไม่เข้าข่าย ในหลักการสากลเขาบอกไว้เลยเขาเรียกว่าสิทธิในการร้องเรียน เราไม่ควรปฏิเสธและออกไปจากห้องของ 4 หน่วยงาน” พรเพ็ญ กล่าว
ผศ.ดร.รณกรณ์ บุญมี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ เป็นเชื้อไฟที่นำมาสู่การมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ซึ่งหากมองย้อนไปก่อนหน้านั้น คงไม่มีใครนึกออกว่าเราจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีความผลักดันกันมาตลอด 10 ปี ร่างกฎหมายได้เข้าสภา 2 รอบแต่ก็ไม่ผ่านทั้ง 2 รอบ แต่เมื่อเกิดคดีดังกล่าวขึ้นในเดือนสิงหาคม 2564 กลับใช้เวลาหลังจากนั้นเพียง 14 เดือน ก็มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ถึงว่ามาไกลแล้ว
เช่น “เนื้อหากฎหมายมีความก้าวหน้า” ซึ่งหลายประเทศแม้มีการระบุความผิดฐานทรมานหรืออุ้มหาย แต่น่าจะมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ระบุความผิดฐานลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมักจะไปอยู่ในหมวดความผิดทางอาญาตามกฎหมายทั่วไป แต่ประเทศไทยเขียนไว้ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 โดยอยู่ในมาตรา 6
อีกทั้งยัง “ครอบคลุมเจ้าหน้าที่รัฐทุกประเภท” พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 3 ว่าด้วยบทนิยามของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ระบุว่า หมายถึงบุคคลซึ่งใช้อำนาจรัฐหรือได้รับมอบอำนาจ หรือได้รับการแต่งตั้ง อนุญาต สนับสนุน หรือยอมรับโดยตรงหรือโดยปริยายจากผู้มีอำนาจรัฐให้ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งตัวอย่างหนึ่งคือ “ครูในสถาบันการศึกษาของรัฐ”หากลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่เข้าข่ายโหดร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ด้วย
“ปกติเวลาเราคุยเรื่อง พ.ร.บ.ทรมาน-อุ้มหาย เราก็จะคุยถึงตำรวจ ทหาร ราชทัณฑ์ แต่จริงๆ ในกรรมการของเรา เราคุยกันเรื่องนี้ว่าโครงการของปี 2567 เป้าหมายอีกกลุ่มที่เราจะเดินสายไปพูดคุยทำความเข้าใจ ทำ outreach program (การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์) ก็คือโรงเรียน อันนี้เป็นเป้าหมายเราเลย คำถามคือแล้วทำไมถึงไม่ทำ? คำตอบคือไม่มีเงิน เพราะว่ารัฐบาลเพิ่งเข้ามา งบประมาณยังไม่เสร็จ งบประมาณน่าจะได้ใช้ประมาณพฤษภาใช่ไหม? ได้เงินมาเดี๋ยวโปรแกรมก็ออก เราก็จะเริ่มทำงานตรงนี้ได้” ผศ.ดร.รณกรณ์ กล่าว
ชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม. กล่าวว่า กสม. ติดตามปัญหาการทรมานและอุ้มหายมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อนจะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 เช่น กสม.ชุดแรก การตรวจเยี่ยมสถานที่เสี่ยง เช่น เรือนจำ และให้ข้อเสนอแนะ เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่อิงกับมาตรฐานระหว่างประเทศมากนัก โดยเน้นเรื่องการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
ต่อมาในยุคของ กสม. ชุดที่ 2 - 4 ซึ่งตรงกับช่วงที่ประเทศไทยรับอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี เมื่อปี 2550 จึงเริ่มมีการตรวจเยี่ยมสถานที่เสี่ยงอย่างเป็นระบบ แต่ก็ยังเน้นที่สถานีตำรวจและเรือนจำ กระทั่งล่าสุดใน กสม. ชุดที่ 4 คิดว่าการตรวจเยี่ยมมีรูปธรรมในลักษณะที่เข้าใกล้การเป็นกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติ ซึ่ง กสม. ทำในนามสถาบันสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา และล่าสุดคือ ติมอร์เลสเต
“ในปีล่าสุด ประเด็นที่เป็นความสนใจในสถาบันสิทธิด้วยกัน ก็จะเป็นในเรื่องของการป้องกันการทรมาน โดยในสมาชิกทั้ง 6 ประเทศ ได้มีข้อมติว่าอยากให้แต่ละประเทศได้ทำแผนยุทธศาสตร์การป้องกันการทรมานของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าในส่วนของ กสม. เองเราทำแผนเสร็จเป็นประเทศแรก ส่วนประเทศที่เหลือขณะนี้ทราบว่ากำลังทำอยู่และคาดว่าจะเสร็จในปีนี้” รองเลขาธิการ กสม. กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี