“ถ้าพูดรวมๆ ภาครัฐของไทยทำหน้าที่ขั้นต่ำได้ดีพอสมควร สร้างสินค้าสาธารณะ (Public Goods) โดยเฉพาะความมั่นคงเศรษฐกิจมหภาค สุขภาพ ลดการยากจนได้ ตรงนี้ทำได้ดี ส่วนเรื่องหน้าที่ขั้นกลาง คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ป้องกันการผูกขาด สร้างทักษะ กระจายรายได้ ตัวนี้ทำได้รองลงมาและจะ Drop (ตก) ไปเป็นพิเศษเรื่องของการสร้างนวัตกรรมเช่น ไปสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นรัฐบาลอย่างจะสร้าง New S - Curve อะไรต่างๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ด้วยขีดความสามารถภาครัฐไทยในปัจจุบัน ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะการเก็บภาษีจากทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน เราก็จะพบว่าเป็นไปได้ยากมาก”
สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในวงเสวนา “Research and Policy Dialogue #7 : รื้อรัฐ ปรับใหญ่ปฏิรูปราชการไทย สู่อนาคต” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ 101 PUB เมื่อเร็วๆ นี้ ประเมิน “ประสิทธิภาพระบบราชการไทย” และให้ข้อสรุปว่า “ขีดความสามารถของภาครัฐของไทยอยู่ในระดับปานกลาง” ด้านหนึ่งยังไม่ถึงขั้นเลวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งดูเหมือนขีดความสามารถจะมีแนวโน้มลดลง
โดยหากย้อนไปในยุคสมัยก่อนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย อย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ไทยเคยถูกประเมินโดย International Country Risk Guide (ICRG) ซึ่งเป็นองค์กรที่ประเมินความเสี่ยงของประเทศต่างๆ ว่า แม้ไม่ถึงขั้นสูงล้ำอย่าง สิงคโปร์ แต่ก็ถือว่าขีดความสามารถของภาครัฐของไทยอยู่ในระดับดี แต่หลังจากนั้นขีดความสามารถของไทยก็ตกลงเรื่อยๆ ส่วนทางกับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ที่ขีดความสามารถของภาครัฐมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางโลกที่อยู่ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
ขณะที่ ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวถึงคำว่า “การรวมศูนย์แยกส่วน (Fragmented Centralization)” หมายถึง มีหน่วยงานจากส่วนกลางไปตั้งในจังหวัด แต่หน่วยงานเหล่านั้นไม่ได้ยึดโยงกับราชการส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่น และเมื่อจะดำเนินการอะไรก็ตาม หากแต่ละหน่วยงานไม่คุยกันให้ดีก่อนก็จะเกิดปัญหาการใช้งบประมาณซ้ำซ้อน เช่น หน่วยงานหนึ่งเพิ่งซ่อมแซมทางเท้าเสร็จไปไม่นาน แต่อีกหน่วยงานมีโครงการซ่อมแซมท่อน้ำประปาซึ่งต้องรื้อทางเท้านั้นอีกรอบ เป็นต้น
ในกรณีของ จ.เชียงใหม่ เมื่อแบ่งส่วนราชการต่างๆ จะพบว่า มีหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจบังคับบัญชา เพียง 35 หน่วยงาน ในขณะที่หน่วยราชการส่วนกลาง มีถึง 256 หน่วยงาน สุดท้ายราชการส่วนท้องถิ่นอยู่ที่ 211 หน่วยงาน ยังไม่ต้องกล่าวถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่เปลี่ยนบ่อยและไม่แน่นอน อย่างผู้ว่าราชการจังหวัด บางคนอยู่นาน บางคนดำรงตำแหน่งไม่นานก็ย้ายไปที่อื่น ต่างจากท้องถิ่นที่มีวาระดำรงตำแหน่งชัดเจน เช่น 4 ปี
“ปัญหาของลักษณะนี้คือมันไม่เกิดการบูรณาการ เวลาเราต้องการโจทย์ใหญ่ที่มันข้ามหน่วยงาน ซึ่งมันจะโยงกับปัญหาการรวมศูนย์แยกส่วน ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราต้องการทำท่องเที่ยวยั่งยืน หรือถ้าเทียบง่ายๆ ก็คือ SDGs (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยองค์การสหประชาชาติ) มันจะต้องมองรอบด้านครบทุกมิติ เราจะต้องมองทั้งมิติความปลอดภัย มิติสังคม-เศรษฐกิจ มันต้องบูรณาการ มันต้องมีเป้าหมายใหญ่ มันจะไม่สามารถแยกส่วนกันทำได้
ถนนที่ขึ้นดอยสุเทพ คนดูแลถนนคือทางหลวง โจทย์ทางหลวงคือความปลอดภัย เขาก็ทำทางกั้นสูงประมาณเมตรกว่า แน่นอนมันดีมากในแง่ความปลอดภัย แต่สิ่งที่ผมพบคือมีนักวิจัยทางสายวิทย์ คณะวิทยาศาสตร์ มช. ก็ได้บอกว่า การที่ทางหลวงไปทำไฟ (หลอดไฟส่องสว่าง) แบบนี้คือการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ แมลงหรือสัตว์ที่เคยหากินตอนกลางคืน แล้วปรากฏไปใช้ไฟแบบไม่คิด เพราะทางหลวงเขาไม่รู้ เรื่องนี้ทางหลวงไม่มีทางจะไปรู้ได้เลย เพราะหน้าที่ทางหลวงคือทำถนนให้มันปลอดภัย แต่ก็ลืมคิดถึงสิ่งแวดล้อม” ผศ.ดร.ณัฐกร ยกตัวอย่าง
มุมมองจากนักมานุษยวิทยา นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ในการปฏิรูประบบราชการ มีวิธีคิด 3 แบบที่ควรระมัดระวัง 1.แนวคิดแบบ “...ก็เป็นแบบนั้น” เช่น ราชการไทยก็เป็นแบบนั้น คนไทยก็เป็นแบบนั้น เพราะเป็นวิธีคิดที่มองว่าสิ่งนั้นดำรงอยู่และจะดำรงอยู่ต่อไป โดยไม่ได้มองว่ามีบริบทใดที่ทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่
2.แนวคิดแบบ “เรามีคำตอบที่สมบูรณ์และสำเร็จรูปอยู่แล้ว..เหลือเพียงการนำไปใช้” เพราะระบบราชการมีความซับซ้อนและไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน เช่น ทหาร ศาล ท้องถิ่น ครู สาธารณสุข ฯลฯ มีวัฒนธรรมย่อยที่แตกต่างกัน และ 3.แนวคิดแบบ “นำวิธีการที่สร้างปัญหามาแก้ปัญหา” เช่น อยากปฏิรูประบบราชการแต่ใช้วิธีแบบราชการ คำถามคือจะสำเร็จหรือไม่? อนึ่ง การปฏิรูปโครงสร้างคงไม่เพียงพอ แต่ต้องไปถึงการปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรด้วย
“ปฏิรูปวัฒนธรรมราชการ หรือการทำงานเรื่องวัฒนธรรมองค์กร มันก็มีการพูดถึงอยู่กันค่อนข้างเยอะ ปัญหาคือมันแปลเป็นรูปธรรมในการทำงานยากมาก เพราะวัฒนธรรมมันเหมือนอะไรที่เป็นวุ้นๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้ ถ้าเราจะพูดถึงว่าวัฒนธรรมราชการมันมีเอกลักษณ์ของมันอย่างไร มันก็อาจจะพอเห็นได้ ลักษณะสำคัญที่สุดคือมันผลิตซ้ำตัวมันเองได้ ก็เหมือนวัฒนธรรมโดยทั่วไป ซึ่งการผลิตซ้ำนี้มันเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก” นพ.โกมาตร กล่าว
ด้าน สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐบาลดิจิทัล กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) มี 3 เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ 1.คน ตัวแปรสำคัญคือ 1.1 ความเป็นผู้นำ ผู้บริหารหน่วยงานต้องเอาด้วยพร้อมกันหมด เช่น ในองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตัวแปรสำคัญคือนายก อบต. และปลัด อบต. หากทั้ง 2 คนเอาด้วยที่เหลือก็พร้อมหมด 1.2 วิธีคิด ทำอย่างไรให้คนเปิดใจกว้างมองการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ แต่ก็อาจต้องใช้เวลา เช่น คนรุ่นเก่าตีความกฎหมาย กังวลเรื่องเอกสารดิจิทัลถูกปลอมแปลง แต่คนรุ่นใหม่ไม่กลัว ซึ่งคนรุ่นใหม่ก็จะมาแทนเรื่อยๆ ส่วนคนรุ่นเก่าจะค่อยๆ หมดไปและ 1.3 วัฒนธรรมและทักษะ ก็ต้องพัฒนาเพื่อให้มีความสบายใจในการใช้
2.กระบวนการ จริงๆ แล้วประชาชนไม่อยากไปยุ่งกับภาครัฐหากไม่มีเรื่องให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น การขออนุมัติ-อนุญาตต่างๆ ดังนั้นโจทย์คือจะทำอย่างไรให้กระบวนการสั้นและสะดวก แต่ที่ผ่านมาบุคลากรภาครัฐกังวลเรื่องเปลี่ยนแล้วจะขัดกับข้อกฎหมาย ซึ่งบางครั้งก็เป็นความกังวลโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากฎหมายข้อใด หรือเป็นเพราะไม่เคยคิดวิธีการใหม่ๆ หรือทำตามวิธีเดิมๆ ที่เคยชินเพราะไม่อยากขัดกับที่ผู้ใหญ่เขาให้ทำกันมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกฎหมาย มีการออก พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2565 มาแล้วให้สามารถทำได้โดยไม่ต้องกลัว แต่สิ่งที่อยากเห็นและยังมีน้อย คือการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเป็นการปรับเปลี่ยนของฝ่ายรัฐเอง
และ 3.เทคโนโลยี ทำอย่างไรให้คุ้มค่าและสะดวกในการใช้ ปัญหาในด้านนี้คือที่ผ่านมาต่างคนต่างลงทุน งบประมาณลงไปแบบเบี้ยหัวแตก จึงไม่มีความร่วมมือกัน และแม้จะมีงบประมาณแบบบูรณาการ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ทำข้ามหน่วยงานไม่ค่อยได้ เพราะสุดท้ายงบประมาณจะไปอยู่ในหน่วยงานที่เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง อนึ่ง สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA จัดทำซอฟต์แวร์ระบบกลางให้แต่ละหน่วยงานนำไปใช้ คิดค่าบริการปีละ 5 หมื่นบาทเท่านั้น ซึ่งการเก็บเงินก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ด้วย
“มีโครงการที่เราถือว่าทำสำเร็จคือโครงการจัดเก็บภาษีที่ดิน อันนี้ก็ว่าไม่ได้ ภาครัฐอยากได้เงินก็อาจจะให้เร็วขึ้นหน่อย แต่ถ้าอำนวยความสะดวกอาจช้านิด ก็จะเป็นโครงการความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน คือกรมที่ดินก็ไปพัฒนาฐานข้อมูลที่ดิน กรมธนารักษ์ก็ทำเรื่องการประเมินราคา เสร็จแล้วกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็ประมาณกับ อปท. (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ทั้งหมดในการที่จะไปประเมินรูปแบบการใช้งานของพื้นที่นั้นเพื่อจะได้มาจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง” สุพจน์ ยกตัวอย่าง
วิริยา เนตรน้อย รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ยอมรับว่า ระเบียบราชการเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูประบบราชการ อย่างตนนั้นก็ใกล้เกษียณแล้ว แต่ระเบียบบางอย่างมีมาก่อนที่ตนจะเกิดเสียอีก ที่สำคัญคือ “คนตรวจสอบจะไม่ได้มองในแง่เจตนาดีที่ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพ แต่มองว่าโกงหรือทำผิดระเบียบ” ทั้งนี้ ในรอบ 20 ปีล่าสุด ราชการเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น ในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ผู้ที่จะตอบได้ชัดที่สุดคือผู้รับบริการ แต่หากฟังความเห็นของประชาชน ก็ยังพบการตำหนิหน่วยงานราชการในเรื่องเดิมๆ อยู่
“การเปลี่ยนอีกระดับหนึ่งคือต้องเปลี่ยนแล้วทำให้คนที่อยู่รับบริการจากรัฐมองว่าราชการเปลี่ยนจริง ดังนั้นความพยายามของเรา เริ่มต้นก่อนคือเราต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ และให้มันสะท้อนไปให้ได้ว่าประชาชนเห็นแล้วว่าเราเปลี่ยน อันนี้เป็นความยากมากที่จะทำให้เกิดขึ้นได้” วิริยา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี