เมื่อโลกเปลี่ยนคนก็ต้องปรับตัวแต่จะปรับได้แค่ไหนอยู่รอดหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง
การมาของอินเตอร์เนตความเร็วสูงรวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนทั้งโลก โดยเฉพาะในวงการสื่อมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อ ทำให้สื่อดั้งเดิมต้องล้มหายตายจากกันไป
วงการสื่อมวลชนไทยก็หลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ไม่พ้น เราจึงได้เห็นการปิดตัวของธุรกิจสื่อและมีการปลดออกเลิกจ้างพนักงานกันมาตลอดใน 2-3 ปีมานี้
19 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาได้ไปร่วมงานที่มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดประชุมเรื่อง “ความเสี่ยงและสุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2567”เปิดเผยผลสำรวจสุขภาพของคนทำสื่อ ที่โรงแรมอวานีรัชดา กรุงเทพฯ
งานนี้ วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ด้านการสื่อสารมวลชน มาเปิดการประชุมบอกว่าปี 2567 เป็นปีแห่งความยากลำบากของวงการสื่อมวลชนแค่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2567 ธุรกิจสื่อปลดออกพนักงานไปแล้วหลายร้อยคน ส่วนครึ่งปีหลังล่าสุดสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพิ่งเลิกจ้างพนักงานกว่า 300 คน ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ทำงานหนักขึ้นส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ แถมคาดการณ์ว่าปี 2568 ภาวะฟองสบู่ของวงการสื่อออนไลน์อาจจะแตกเพราะปริมาณมากเกินจนล้นตลาด จึงหวังว่าการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจะได้แนวทางในการดูแลสุขภาพและสร้างความมั่นคงในการทำงานของคนทำสื่อต่อไป
จากนั้น รศ.ดร.ณัฐนันท์ ศิริเจริญ เลขาธิการมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจว่า มีการสอบถามสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค พบว่าแม้ส่วนใหญ่ 44.09% ทำงาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ที่เหลือ 19.35% ชั่วโมงทำงานไม่แน่นอน อีก 13.98% ต้องทำงานวันละ 9-10 ชั่วโมง และมีถึง 8.60% ทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมง มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ 41.94% ไม่มีวันหยุดที่แน่นอน ที่โหดสุดคือ 8.60 % ไม่มีวันหยุดเลย ส่งผลให้สื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานกันเยอะ แถมยังมีโรคยอดฮิตในยุคนี้คือ ความเครียดสูงถึงเกือบ 70%
ด้านพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพปี 2567 ถือเป็นข่าวดีเพราะสื่อมวลชนส่วนใหญ่ 83.60% ไม่สูบบุหรี่ ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 96.77% ก็ไม่สูบเช่นกัน ขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์นั้นยังมีคนดื่ม 43.01% โดยให้เหตุผลว่าต้องสังสรรค์และเข้าสังคมอยู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือเปล่า ที่น่าสนใจคือเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 นั้นพบว่าสื่อสูบบุหรี่ลดลง 7.13% ดื่มแอลกอฮอล์ลดลง 8.99% ส่วนปัจจัยเสี่ยงทางสังคมด้านความปลอดภัยทางถนน สื่อมวลชนสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง 60.22% การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง 84.95% และ 48.92% ยอมรับว่าเคยฝ่าฝืนกฎจราจร ส่วนเรื่องการพนันนั้นพบว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่65.59% รับว่าเคยเล่นและที่เล่นมากสุดคือซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเพราะมองว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมายรัฐบาลเป็นเจ้าของ
เห็นผลสำรวจของ มสส. แล้วก็มีทั้งเรื่องร้ายและเรื่องดี เรื่องร้ายคือสื่อทำงานหนักมีโรครุมเร้าโดยเฉพาะโรคเครียด แต่ก็ยังดีที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้ากันน้อยลง
จากนั้นถึงคิวสว.สายสื่อ เทวฤทธิ์ มณีฉาย อดีตบก.บห. สำนักข่าวประชาไท ผู้ที่รู้ซึ้งถึงอาชีพสื่อมวลชนเพราะเริ่มต้นชีวิตผู้สื่อข่าวในปี 2555 ทำข่าวด้านการเมืองและสิทธิแรงงานควบคู่ไปกับการทำข่าวเชิงสืบสวนการใช้อำนาจรัฐและกลุ่มทุน กลั่นจากประสบการณ์ว่าสื่อไทยกำลังเผชิญกับ 4 ส.คือ เสรีภาพที่มีข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นหรือการนำเสนอข่าวสาร มีความเสี่ยงถูกดำเนินคดีความมั่นคงและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สวัสดิภาพก็มีปัญหาเพราะหลายครั้งนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมากลับถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพลเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนสวัสดิการในการทำงานก็มีปัญหา มีการลดต้นทุน ลดสวัสดิการลง จ้างงานแบบชั่วคราวทำให้ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน ทำงานหนักมากขึ้นพักผ่อนน้อย และสุดท้ายคือสหภาพแรงงาน ธุรกิจสื่อจำนวนน้อยมากที่มีสหภาพแรงงานเพื่อปกป้องลูกจ้าง พร้อมเรียกร้องให้นายจ้างเปิดกว้างให้จัดตั้งสหภาพแรงงานได้
ส่วน ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์รุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องสภาพการจ้างงานของวงการสื่อมวลชนไทยจาก คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่าข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ระบุชัดเจนว่า ธุรกิจสื่อ วัฒนธรรมและกราฟิก เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนรูปของรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่น่ากังวลคืออุตสาหกรรมบันเทิงมีความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ ขาดการทำงานที่มีคุณค่า และการเข้าไม่ถึงระบบการคุ้มครองทางสังคม รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนจากความมั่นคงเป็นพนักงานประจำไปสู่ความไม่มั่นคงทำงานชั่วคราวหรือเป็นแบบสัญญาจ้าง
อาจารย์จากม.ธรรมศาสตร์บอกว่ารูปแบบดังกล่าวส่งผลให้จากเดิมสื่อมวลชนมีพลังมากกลายเป็นมีพลังน้อยพูดอะไรไปคนก็ชักจะไม่เชื่อ ไม่ให้น้ำหนักเสียแล้ว
บทสรุปตอนท้ายตัวแทนสมาคมวิชาชีพและสื่อมวลชนเห็นตรงกันว่าจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหากันต่อไปโดยนักวิชาการและสมาชิกวุฒิสภาจะมาร่วมขบวนด้วย
เห็นความตั้งใจขนาดนี้แล้วก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี