ครูแต่งชุดดำบุก'ศธ.'รอบ2 เสนอ7ข้อปฏิรูปโครงสร้าง-3ข้อไม่ย้ายไม่โอนไป ศธจ.

ครูแต่งชุดดำบุก'ศธ.'รอบ2 เสนอ7ข้อปฏิรูปโครงสร้าง-3ข้อไม่ย้ายไม่โอนไป ศธจ.

วันศุกร์ ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563, 13.04 น.

วันที่ 17 มกราคม 2563 เมื่อเวลา 8.00 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มศึกษานิเทศก์ (ศน.) บุคลากรกลุ่มตรวจสอบภายใน (ตสน.) และบุคลากรกลุ่มเทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา (ICT) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ กว่า 1,000 คน แต่งชุดดำเข้ายื่นหนังสือ ถึงนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) นายวราวิทย์ กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างของศธ. นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดศธ. และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  เพื่อ คัดค้าน การถ่ายโอนศึกษานิเทศก์(ศน.) บุคลากรกลุ่มตรวจสอบภายใน (ตสน.) และบุคลากรกลุ่มเทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา (ICT) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ไปสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) และไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)

โดยนายธนชน มุทาพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชัยภูมิ เขต 1 ในฐานะประธานชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย (ชร.ผอ.สพท.) กล่าวว่า  สมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประเทศไทย และชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ชมรมศึกษานิเทศก์แห่ประเทศไทย ตลอดจนพี่น้องบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค(2) ไม่เห็นด้วยในการโอนย้ายและจะขอคัดค้านจนถึงที่สุด เพราะข้อเสนอดังกล่าวเป็นการดำเนินการโดยขาดหลักธรรมมาภิบาล อาศัยอำนาจของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของศธ. ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้บริหารองค์กรหลัก ไม่มีผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย หรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมพิจารณาและข้อเสนอแนวทางนี้ เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ต้องการทำลายเขตพื้นที่การศึกษา ให้อ่อนแอ เพื่อไปสร้างความเข้มแข็งให้กับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) โดยข้อเท็จจริง คุณภาพการศึกษาจะบังเกิดผลได้ก็โดยการปฏิรูปการเรียนการสอนในห้องเรียน เป็นสำคัญ ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรงของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่กำกับติดตาม ส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการปฏิรูปการเรียนการสอนในห้องเรียน และสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาในสังกัด ให้มีคุณภาพตามมาตรการศึกษาชาติโดยมี ศึกษานิเทศก์ และกลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันโดยตรง ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้ถ้าคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของศธ.ในภูมิภาค ให้ความเห็นชอบ ก็คือความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของการปฏิรูปการศึกษาที่จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


นายธนชน กล่าวต่อว่า พวกเรา ได้มีข้อเสนอในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสพท. 7 ข้อ ข้อที่ 1 ขอให้นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดศธ. ยุติบทบาทการจัดทำข้อเสนอปรับโครงสร้าง  ขอให้รอจนกว่า ร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ จะมีผลบังคับใช้  ทั้งนี้เพื่อป้องกัน การดำเนินการที่ส่อไปในทางที่สร้างความอ่อนแอให้กับสพท.  2. การปฏิรูปโครงสร้างของศธ.ให้ใช้รูปแบบกระจายอำนาจถึงหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ให้มากที่สุดให้คงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)และเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)จำนวน 183 เขต และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 77 เขต รวม 260เขตพื้นที่ โดยไม่มีการโอนย้ายกลุ่มใด ไปยังหน่วยงานการศึกษาอื่น  3. จัดตั้งคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)ประจำสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และตั้ง อ.กค.ศ.จังหวัด โดยให้รับผิดชอบการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานการศึกษาในเขตพื้นที่ฯ 4. เร่งดำเนินการออกพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5 ) เป็นการเฉพาะกิจ โดยให้มีสาระสำคัญให้แก้ไขปรับปรุงคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 16/2560 และคำสั่งคสช ที่ 17/2560เฉพาะ  5.กำหนดให้บุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 39ค(2) ให้เป็นข้าราชการครูสายงานสนับสนุนการสอนและให้ใช้บัญชีเงินเดือน เงินวิทยฐานะ หรือเงินคำตอบแทนอื่น เช่นเดียวกันกับข้าราชการครูสายงานการสอน 6. ให้รีบประกาศจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ให้ครบทุกจังหวัดโดยเร็ว และ  7. เพื่อลดความสูญเปล่าทางการศึกษาจึงเห็นควรให้ศึกษานิเทศก์ ศธจ. กลับคืนสพท. ทั้งนี้จะได้มาช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษา

“เพื่อประโยชน์ของเด็ก และเยาวชนของชาติ ไม่ให้รับผลกระทบที่เกิดจากการโอนย้ายบุคลากรทั้ง 3 กลุ่ม จึงเรียกร้องให้สำนักงานปลัดศธ. ยกเลิกกาจัดทำข้อเสนอดังกล่าวนี้ หากยังดันทุรังที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ยอมรับฟัง ข้อเท็จจริง และเหตุผลไทย พร้อมด้วยองค์กรเครือข่าย จะยกระดับการเรียกร้อง และใช้มาตรการ ให้เข้มขั้นต่อไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดซ้ำซาก ของการปฏิรูปการศึกษา”นายธนชน กล่าว

ขณะที่ นายไพศาล ปันแดน ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สุพรรณบุรี เขต 1 ในฐานะนายกสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย หนึ่งในแกนนำ กล่าวว่า วันนี้นอกจากมารับฟังความชัดเจนในการโอนย้าย ควบรวม กลุ่มศึกษานิเทศก์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน และเจ้าหน้าที่กลุ่มเทคโนโลนีสารสนเทศ(ไอซีที) ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด  จากนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้ว ตนจะเดินทางไปยื่นข้อเสนอทั้งผลดีผลเสียในการโอนย้าย ควบรวม กลุ่มศึกษานิเทศก์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน และเจ้าหน้าที่กลุ่มเทคโนโลนีสารสนเทศ(ไอซีที) ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด  ต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เพื่อให้ได้รับทราบความคิดเห็นของพวกด้วย เพราะบุคลากรทั้ง 3 กลุ่มนี้ เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา มีความใกล้ชิดกับครูและห้องเรียนมากที่สุดในการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพการศึกษา

นายไพศาล กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอที่จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายกรัฐมนตรี  มีจำนวน 3 ข้อ ลงวันที่ 17 ม.ค.2563  ดังนี้ 

เรื่อง  การคัดค้านการตัดโอนอัตรากําลังศึกษานิเทศก์ หน่วยตรวจสอบภายในและกลุ่มส่งเสริมทางไกล เทคโนโลยสีารสนเทศและการสื่อสาร ของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด 

1. เหตุผลและความจําเป็นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ต้องมีศึกษานิเทศก์ บุคลากรหน่วยตรวจสอบภายใน และบุคลากรกลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกลเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)  จํานวน 1 ชุด

2.ข้อเสนอการสร้างความเข้มแข็งใหก้ับสํานักงานเขตพื้นทกี่ารศึกษาเพื่อพัฒนาสถานศึกษาใน สังกัดให้มีคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาที่ยงั่ ยืน จํานวน 1 ชุด              

 3. บัญชีรายชื่อผู้คัดค้านการโอนศึกษานิเทศก์ บุคลากรของหน่วยตรวจสอบภายใน และบุคลากร ของกลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกลเทคโนโลยสีารสนเทศและการสอื่สารของสํานักงานเขต พื้นที่การศึกษา ไปสังกัดสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)จํานวน 1 ชุด 

ตามที่สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 02137/220 ลงวันที่ 7 มกราคม2563เรื่องขอข้อมูลอัตราตําแหน่งศึกษานิเทศก์และตําแหน่งนักวิชาการตรวจสอบภายใน จาก สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อขออนุมัติโอนอัตราตําแหน่งและเงินงบประมาณแผ่นดินประจํา อัตรา รวมตลอดทั้งงบบุคลากรที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน ค่าจ้างประจํา และเงินอื่นที่เกี่ยวข้อง ของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งศึกษานิเทศก์ และตําแหน่งนักวิชาการตรวจสอบภายใน จากสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ปฏิบัติงานในภูมิภาค มาไว้ที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้ไปปฏิบัติ หน้าที่ณสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด เพื่อเสนอให้กรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษา ในภูมิภาค ให้ความเห็นชอบในการประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 1/2563 ที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ 

สมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่ง ประเทศไทย สมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่มัธยมศึกษาประเทศไทย และชมรมผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายศึกษานิเทศก์และบุคลากรทางการศึกษา38ค(2)ในฐานะผู้มี ส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เห็นด้วยที่สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จะจัดทําข้อเสนอให้คณะกรรมการขับเคลื่อน การปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ให้ความเห็นชอบโดยมีเหตุผลพอสังเขป ตามเอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วย 

1 ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในระหว่างการจัดทําข้อเสนอโครงสร้างของ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นหน่วยงานการศึกษาที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการศึกษาสถานศึกษาในสังกัด ให้มีคุณภาพ แต่เนื่องจากมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ ที่ 19 / 2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค บังคับใช้ ได้ส่งผลให้ ศักยภาพการบริหารจัดการศึกษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีข้อจํากัด สมาคมนัก บริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย พร้อมเครือข่าย จึงได้จัดทําข้อเสนอการสร้างความเข้มแข็ง ให้กับ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อพัฒนาสถานศึกษาในสังกัดให้มีคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาที่ยั่งยืน ให้ท่าน ได้โปรดพิจารณาต่อไป 

ส่วนนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีข้าราชการแต่งดำมาคัดค้านการตัดโอนอัตรากําลังศึกษานิเทศก์ หน่วยตรวจสอบภายในและกลุ่มส่งเสริมทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) ของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด  ว่า ตนได้มอบหมายให้นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษา รมว.ศธ. ประธานคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมชี้แจงกับผู้แทนกลุ่มที่มาชุมนุม เพราะท่านทำเรื่องปฏิรูปฯ และเท่าที่ทราบเมื่อมีการชี้แจงแล้วความกังวลของผู้ชุมนุมก็ผ่อนลง ก็น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ส่วนข้อติดใจอะไรต่าง ๆ หากไม่จิตนาการว่าจะเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตนก็คิดว่าน่าจะเข้าใจกันได้ด้วยดี เพราะผอ.เขตพื้นที่ฯที่มาชุมนุมในวันนี้หลายคนก็เป็นตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ อยู่แล้ว และมีความเข้าใจว่ายังไม่จบในการประชุมที่ผ่านมา เพราะในวันที่ 24 ม.ค.ยังมีการประชุมคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างฯอีก ฉะนั้น ก็ต้องมาทำความเข้าใจกัน 

“เป็นธรรมดา เมื่อมีความกังวล มีข้อสงใสก็เป็นสิทธิที่จะแสดงออก ขณะนี้ผมยังไม่เห็นข้อมูลต่างๆการย้าย 3 กลุ่มนี้ไปอยู่ ศธจ. หรือเอกสารที่มีการพูดถึง เพราะเป็นเอกสารที่ไม่ผ่านรัฐมนตรี และผมเองก็ไม่ได้ร่วมประชุมด้วย และคุยกันอย่างไรผมก็ไม่ทราบ  เป็นการทำงานของผู้บริหารกระทรวงฯ ที่เป็นการทำงานตามขั้นตอน เพื่อหาแนวทางที่จะเดินและผลกระทบ ก็ต้องไปทำความเข้าใจในขั้นตอนที่ถูกต้อง เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอน ทั้งการแก้กฏหมาย หากมีการเปลี่ยนแปลง หากแกนนำจะมาพูดคุยกับผมผมก็ยินดี แต่ผมก็จะตอบไม่ได้เพราะยังไม่เห็นข้อมูล อันนี้ผมไม่ได้พูดเบี่ยงเบนในการที่จะมาพูดคุยกัน แต่ผมไม่สามารตอบได้ในสิ่งที่ยังไม่เห็น และยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ ผมจึงยังตอบไม่ได้ และไม่สามารถฟันธงได้ และในการ    ดำเนินงานปรับปรุงโครงสร้างฯ จะประชุมกัน ในวันที่ 24 ม.ค.นี้  หากมีผู้มาชุมนุมเรื่อยๆก็ไม่ทำให้การปรับโครงสร้างล่าช้า แต่การพัฒนาการศึกษาไทยล่าช้า เพราะคุณครูไม่อยู่กับนักเรียน ก็เป็นเรื่องที่กังวลมากกว่า ถ้าส่งตัวแทนมา ผมก็ให้ความสำคัญเท่ากับมากันหลักพันหลักหมื่น ไม่ได้ให้ความสำคัญน้อยไปกว่ากัน  อยากให้คุณครูใช้เวลาอยู่ในห้องเรียนมากกว่า ซึ่งหลังวันที่ 24 ม.ค.คงดูเรื่องกฏหมายที่เกี่ยวข้อง 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top