กรณีดราม่าเกี่ยวกับกฎหมายครอบครองปรปักษ์ ในมุมมองเกี่ยวกับการแย่งการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่กำลังเป็นกระแสร้อนแรงในขณะนี้
กฎหมายเกี่ยวกับครอบครองปรปักษ์นั้นถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของ
คนอื่นไว้โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ครอบครองติดต่อกัน 10 ปี หรือสังหาริมทรัพย์ครอบครองติดต่อกัน 5 ปี ถือว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์”
โดยองค์ประกอบสำคัญๆครอบครองปรปักษ์นั้นจะต้องเป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์สินของบุคคลอื่นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของในระยะเวลาที่ติดต่อกัน 10 ปี สำหรับอสังหาริมทรัพย์ และต้องเป็นการแย่งการครอบครองโดยเปิดเผย ดังนั้นลักษณะการได้สิทธิ์ในเรื่องของการครอบครองปรปักษ์ผู้แย่งการครอบครองจะเจตนาไม่สุจริตก็ได้
ซึ่งเมื่ออ่านดูเนื้อหาของกฎหมายแล้วหลายคนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นลักษณะที่เป็นการได้สิทธิ์มาโดยไม่สุจริต และสนับสนุนให้บุคคลอื่นแย่งการครอบครองทรัพย์สินซึ่งกันและกัน
ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์นั้น และมีไว้เพื่อกรณีที่ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ละเลยในทรัพย์สินของตนโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่ง เจ้าของกรรมสิทธิ์มีมากเกินความจำเป็นและปล่อยปละละเลย จึงให้สิทธิ์ประชาชนอื่นที่เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในระยะเวลาติดต่อกัน เกิน 10 ปี เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์แทน
นอกจากนี้ในการซื้อขายที่ดินในสมัยโบราณรวมถึงสมัยปัจจุบันในบางท้องที่ เป็นการซื้อขายโดยไว้เนื้อเชื่อใจกันหรือแม้กระทั่งซื้อขายกันในเครือญาติและไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดคือไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน ต่อมาหลังจากทำการซื้อขายแล้วก็ได้ ปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยกัน เป็นระยะเวลาหลายสิบปี สำหรับรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ที่ทำการซื้อขาย กันนั้นมักไม่มีปัญหาเพราะเป็นเครือญาติหรือเกิดความไว้วางใจ
แต่หลังจากสิ้นรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายแล้วมักจะเกิดปัญหาในรุ่นลูกกล่าวคือ การซื้อขายที่ดินนั้นไม่ได้มีการทำหนังสือและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทำให้ชื่อในที่ดินอย่างเป็นของเจ้าของเดิม เมื่อทายาทของผู้ตายมารับมรดกแล้วก็จะเกิดปัญหาการฟ้องร้องขับไล่กันเป็นจำนวนมากในทางกฎหมายนั้นการต่อสู้คดีเรื่องความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ถ้าผู้ซื้อไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดคือไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอนเปลี่ยนแปลงชื่อต่อสำนักงานที่ดินแล้วแทบจะปิดประตูในการต่อสู้คดีทันทีในหลายคดีทนายความจึงมักใช้ข้อกฎหมายเรื่องการครอบครองปรปักษ์เป็นช่องทางต่อสู้คดีช่วยผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตแต่บกพร่องที่ไม่ได้มีการทำเป็นหนังสือและโอนกรรมสิทธิ์กันไว้
โดยปัจจัยสำคัญในเรื่องของการนำสืบพยานต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงพยานหลักฐานการซื้อขายหรือการชำระค่าที่ดินเท่าที่จะมี มูลค่าของสิ่งปลูกสร้างเมื่อเทียบกับมูลค่าของที่ดินในขณะที่ทำการซื้อขาย หลักฐานเกี่ยวกับการขอสาธารณูปโภค พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องและรู้เห็นเกี่ยวกับการอยู่อาศัยของผู้ซื้อที่ดิน
ซึ่งข้อต่อสู้ดังกล่าว แม้ผู้ถูกขับไล่จะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดคือซื้อขายที่ดินแต่ไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็ตาม แต่หากพิจารณาหลักฐานน่าเชื่อว่ามีการซื้อขายกันจริง ประกอบกับมูลค่าของสิ่งปลูกสร้างที่มูลค่าสูงกว่าราคาที่ดินหรือเทียบเท่ากับราคาที่ดินในขณะนั้น หรือไม่ใช่ลักษณะสิ่งปลูกสร้างที่เป็นเพียงแค่เพิงพักหรือกระต๊อบ ประกอบกับการขอสาธารณูปโภคที่ผู้ซื้อที่ดินได้ขอในชื่อตนเองพร้อมชำระค่าสาธารณูปโภคด้วยตนเอง เมื่อฟังประกอบกับพยานบุคคลทั้งพยานของฝ่ายผู้ถูกขับไล่รวมถึงบุคคลในชุมชนก็ตามให้เห็นถึงการอยู่อาศัยโดยเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันเกิน 10 ปี รวมทั้งในบางคดีอาจจะมีชื่อเรียกของบ้านหลังดังนั้นกันตามชุมชนซึ่งเป็นบ้านของผู้ถูกขับไล่ สอดคล้องกับชื่อของผู้ถูกขับไล่หรือบิดามารดาเจ้ามรดกของผู้ถูกขับไล่ก็ตาม ศาลก็มีอำนาจที่จะให้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของผู้ถูกขับไล่ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ทำตามแบบของกฎหมายให้ครบถ้วน ซึ่งเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้แก่เจ้าของที่ดินที่เคยมีปัญหาในลักษณะนี้มาเป็นจำนวนมาก ส่วนนี้จึงเป็นบทบาทหนึ่งของกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ที่มิใช่ผู้ร้ายเสมอไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี