ทรงเสด็จกลับฟากฟ้า ลาลับแล้ว
สมพระเกียรติอันเพริศแพร้ว สู่สุขศรี
คงเหลือไว้ซึ่งคุณงาม และความดี
ทั้งชีวีที่พระองค์ ทำเรื่อยมา
ข้าพเจ้านายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย โดยเขียนบทความเกร็ดเรื่องเล่าราชยานยนต์แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านรถยนต์ทรงงานของพระองค์ท่าน ซึ่งได้เขียนมาแล้วในตอนแรก คือ “ราชยานยนต์แห่งราชาผู้สง่างาม” โดยวันนี้จะเริ่มในตอนที่ 2
ตอนที่ 2 ราชยานยนต์แห่งมหากษัตริย์นักพัฒนา
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ เป็นวันแรกตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเริ่มออกทุกข์และใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ แต่หลังพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสร็จสิ้นแล้ว ผมเชื่อว่าประชาชนไทยทุกคน ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ต่างยังคงมีความโศกเศร้าเสียใจ ที่ประเทศไทยต้องสูญเสีย “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” ที่ทรงพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์มากมาย
คนไทยนับล้านคน ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เดินทางมารวมตัวกัน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่สวรรคาลัย ผมมีโอกาสพาลูกๆ ไปร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์ที่สวนจตุจักร ทำกิจกรรมร่วมกับจิตอาสาแจกน้ำให้กับผู้ที่มารอร่วมงาน ได้เห็นความเป็นระเบียบและใจที่แน่วแน่ของประชาชนคนไทยที่จะถวายความจงรักภักดี สิ่งนี้สะท้อนถึงพระบารมีที่พ่อของแผ่นดินทำให้ราษฎรอยู่ดีมีสุขกันจนถึงทุกวันนี้ ด้วยพระราชกรณียกิจนานัปการ ที่พระองค์ท่านได้ไปก่อร่างสร้างไว้
ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย ผมขอสะท้อนผ่านรถยนต์พระที่นั่งที่พระองค์ทรงงาน ดังที่จะได้บอกเล่ากันต่อไปนี้
“ความเดิมจากตอนที่แล้ว” หลังจากพระองค์เสด็จกลับจากสวิตเซอร์แลนด์มาประทับที่ประเทศไทยอย่างถาวร ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกพื้นที่ของประเทศ และในกาลนั้น พระองค์ก็ได้นำรถยนต์พระที่นั่งเดอลาเฮย์ 135 (Delahaye 135) สองประตู เปิดประทุน คาบริโอเลต์ รถที่ทรงใช้เมื่อครั้งประทับอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลับมาประเทศไทยด้วย และเป็นรถยนต์พระที่นั่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจแรก ที่เสด็จเยี่ยมเยียนประชาชน
Delahaye 135 Cabriolet ออกแบบโดย Jean François
เครื่องยนต์ 3,227 ซีซี 110 แรงม้า เมื่อครั้งเสด็จในเหตุการณ์ไฟไหม้ ตลาดบ้านโป่ง
ระหว่างที่พระองค์เตรียมการออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรนั้น ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านโป่ง จ.ราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งเดอลาเฮย์ 135 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรผู้ประสบอัคคีภัย ในวันที่ 13 กันยายน 2497 ซึ่งนับเป็น
การเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรอย่างเป็นทางการ “ครั้งแรก” ในรัชกาล
Mercedes - Benz 300 Adenauer เครื่องยนต์ 2,996 ซีซี 180 แรงม้า
เจ้าพนักงานกำลังซ่อมท่อไอเสียที่หลุดของ Mercedes - Benz 300 Adenauer
ในช่วงต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังคงใช้รถสี่ประตูแบบซาลูนเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ เมอร์เซเดส - เบนซ์ รุ่น 300ทรงซาลูนถูกเลือกให้มาใช้งาน Mercedes - Benz 300 รุ่นนี้มีชื่อเรียกขานว่า Adenauer ตามชื่อ คอนราด อาเดนาวร์ (Konrad Adenauer) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รถรุ่นนี้ถูกผู้นำหลายประเทศเลือกใช้เนื่องจากสมรรถนะที่ดีเยี่ยม หรูหรา และ“คงทน”
ทรงใช้เสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่นทุรกันดารหลายแห่ง โดยครั้งเสด็จไป อ.วังทอง จ.พิษณุโลก รถยนต์พระที่นั่งเมอร์เซเดส - เบนซ์ 300 เกิดเหตุท่อไอเสียหลุด จนเจ้าหน้าที่ต้องทำการซ่อมแซมกลางป่า เช่นเดียวกับเมื่อครั้งเสด็จจาก จ.สุโขทัย ไป จ.ตาก ระหว่างทางถนนขรุขระมาก รถยนต์พระที่นั่งท่อไอเสียหลุด แล่นต่อไปไม่ได้ จนต้องเอารถพระที่นั่งรองมาเปลี่ยน เพื่อเสด็จต่อไปจนถึงจ.ตาก
จุดยึดท่อไอเสีย ไม่ได้เป็นจุดอ่อนของรถรุ่นนี้แต่ประการใด ผมเองได้เคยใช้และซ่อมรถรุ่นนี้ ต้องบอกเลยว่าจุดยึดท่อไอเสีย
แข็งแรงกว่าธรรมดาด้วยซ้ำไป ปกติทั่วไปจะใช้ยางวงหิ้วหูท่อไอเสีย แต่สำหรับรุ่นนี้ใช้สายพานพร้อมยึดนอตถึง 4 ตัว ไม่ขาดง่ายๆแน่นอน จึงคิดได้เป็นประการเดียวว่ารถยนต์พระที่นั่งของพระองค์ท่านต้องผ่านพื้นที่ทุรกันดารมาอย่างหนักแน่นอน
ด้วยพระราชกรณียกิจที่ต้องเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล จึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้รถยนต์พระที่นั่งที่มีความเหมาะสม ทนทาน ยกสูง ขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงเป็นที่มาของรถยนต์พระที่นั่ง เดอลาเฮย์ วีเอลอาร์ (Delahaye VLR) รุ่นปี 2494 รถยี่ห้อเดอลาเฮย์ยี่ห้อนี้ทรงโปรดมาก และได้ทรงเคยซื้อไว้ถึง 4 รุ่น 4 แบบด้วยกัน และรถยนต์พระที่นั่งเดอลาเฮย์องค์นี้เป็นแบบที่ 5 ที่ทรงใช้เสด็จพระราชดำเนินในพื้นที่ทุรกันดาร
Delahaye VLR รุ่นปี 2494 ขับเคลื่อน 4 ล้อ 5 ที่นั่ง เครื่องยนต์ 1,992 ซีซี 63 แรงม้า
Jeep Willy M38 รุ่นปี 2494 ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขนาด 1/4 ตัน กำลัง 60 แรงม้า
ปี 2495 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และข้าราชบริพาร เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนที่หมู่บ้านห้วยคต ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทรงตรัสถามชาวบ้านถึงปัญหาในพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านต้องการถนนเพื่อสัญจรเข้าหมู่บ้านโดยสะดวกขึ้น พระองค์จึงมีรับสั่งให้ตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี มาดำเนินการแผ้วถางป่าและสร้างถนนสัญจรเข้าหมู่บ้าน โดยใช้เวลาเพียง 1 เดือน ถนนก็แล้วเสร็จ และพระราชทานนามว่า “ถนนห้วยมงคล” ที่ถือเป็นโครงการพระราชดำริลำดับแรก ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการตามพระราชดำริตลอดรัชกาล
นอกจากเดอลาเฮย์แล้ว และอีกภาพหนึ่งถ้าใครจำได้ จะเห็นภาพรถยนต์พระที่นั่งอีกคันหนึ่งที่ทรงใช้เสด็จคือ Jeep Willy M38 ที่กำลังติดหล่มอยู่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปหมู่บ้านห้วยคตในระยะบุกเบิก จะเห็นได้จากภาพว่า ทั้งข้าราชบริพาร ทหาร และชาวบ้าน ต่างช่วยกันดันรถยนต์พระที่นั่งให้หลุดจากหล่ม แสดงให้เห็นถึงความทุรกันดารของพื้นที่ และความวิริยะอุตสาหะ กว่าจะได้มาซึ่งโครงการพระราชดำริแห่งแรก
Land Rover Series 3 ปี 2519 เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ กำลัง 73 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 4 สปีด
รถยนต์พระที่นั่งสำคัญที่เห็นกันบ่อยครั้ง ในภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็คือ แลนด์ โรเวอร์ ซีรี่ส์ 3 (Land Rover Series 3) ที่ประจำการกองงานส่วนพระองค์มาตั้งแต่ปี 2519 ใช้เสด็จพระราชดำเนินและทรงขับด้วยพระองค์เองไปพื้นที่ห่างไกลอยู่เสมอ
อย่างที่เห็นชัดเจนคือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 2514 ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ บ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยระหว่างเสด็จผ่านสะพานไม้ ประชาชนที่ทำนากันอยู่ เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์พระที่นั่งก็ออกมารอเฝ้าฯรับเสด็จ พระองค์จึงทรงลงจากรถยนต์พระที่นั่ง และก็เกิดเป็นภาพที่ทรงประทับบนสะพานไม้พิงกับรถ Land Rover Series 3 ในหลวง รัชกาลที่ 9 ตรัสถามกับนายพร้อม จินนาบุตร ชาวบ้านที่รับเสด็จ ว่า “ที่นี่ที่ไหน” ซึ่งนายพร้อมกราบบังคมทูลว่า “หมู่บ้านเจาะบากง” และพระองค์ก็ตรัสว่า “หมู่บ้านไม่มีในแผนที่ มีแต่บ้านโคกกูโนและบ้านโคกกูยิ” แล้วจากนั้นพระองค์ยังตรัสถาม ปัญหาในพื้นที่ โดยนายพร้อมกราบบังคมทูลว่า มีปัญหาน้ำท่วมขังตลอดปี ชาวนาทำนาไม่ได้ จึงขอพระราชทานขุดคลองระบายน้ำเชื่อมคลอง โดยจากนั้นไม่นาน การพัฒนาต่างๆ ก็ตามมา รวมถึงการขุดคลองตามที่นายพร้อมขอพระราชทาน จนเป็นโครงการชลประทานมูโนะ
รถยนต์รุ่นนี้มีตัวถังช่วงยาว ผลิตจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนัก ยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ มีความทนทานเหมาะสมกับทางวิบากหรือพื้นที่ห่างไกล ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ขับหรือนั่งกันมาแล้วก็คงทราบว่าไม่นิ่มเลยรถโยนตัวมาก แต่พระองค์ก็ทรงใช้รถรุ่นนี้เสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่ห่างไกลหลายครั้ง
Toyota Soluna ทะเบียน 1ด-0956 เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 95 แรงม้า
รถยนต์พระที่นั่งสำคัญ ไม่ได้มีแค่รถยนต์จากฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเท่านั้น แต่ยังทรงประทับรถยนต์พระที่นั่ง Toyota แบรนด์จากญี่ปุ่น เช่นเดียวกับที่ประชาชนทั่วไปนิยมนำมาใช้กัน
โตโยต้า โซลูน่า (Toyota Soluna) สีฟ้า ทะเบียน 1ด-0956 รถยนต์พระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น มีที่มาจากเหตุน้ำท่วมสูงบริเวณถนนเจริญนคร เมื่อปี 2529 ซึ่งพระองค์ท่านมีพระประสงค์จะเสด็จลงพื้นที่แต่ไม่สามารถเสด็จได้ เนื่องจากน้ำท่วมสูง รถยนต์ไม่สามารถเข้าได้ จึงมีพระราชดำริว่า หากโตโยต้าสามารถสร้างรถยนต์ที่วิ่งได้ในถนนที่น้ำท่วมสูง ก็จะเป็นประโยชน์ โดยต่อมาใน ปี 2538 โตโยต้าได้สนองพระราชดำริ ผลิตรถรุ่น Soluna นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยกขึ้นสูง และยกท่ออากาศติดกับฝากระโปรงหน้า สามารถวิ่งบนถนน ที่มีน้ำท่วม ได้สูง 30 - 50 เซนติเมตร
ปี 2540 ประเทศไทยประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจ มีข่าวลือว่าโตโยต้าจะเลิกจ้างพนักงานกว่า 5,500 คน จึงทรงมีพระราชดำริขอซื้อรถยนต์ Toyota Soluna และรับสั่งว่าไม่ต้องรีบทำ เพื่อให้คนไทยได้มีงานทำ โดยต่อมาในช่วงเดือนธันวาคม ทางโตโยต้าก็ได้นำรถยนต์ไปถวาย โดยพระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 6 แสนบาท แต่ทางโตโยต้าไม่ขอรับเงินไว้ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้นำเงินส่วนนั้นไปตั้ง “โรงสีข้าวรัชมงคล” ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ให้มีชีวิตที่ดีขี้น โดยไม่หวังผลกำไร ดังพระราชดำรัสในโอกาสครบรอบ 10 ปี โรงสีข้าวรัชมงคลว่า “ขาดทุนเป็นการได้กำไรของเรา”
"Volkswagen Caravelle T4” เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ กำลัง 204 แรงม้า
และรถยนต์พระที่นั่งคันสำคัญสุดท้ายนี้คือ “Volkswagen Caravelle T4” มีชื่อเรียกขานว่า “เจมส์ บอนด์” สีเทา คาดแถบฟ้า ทะเบียน 1ด-0929 เป็นรถตู้อเนกประสงค์ ที่ทรงประทับช่วงปลายรัชสมัย ใช้เสด็จเข้าออกโรงพยาบาลศิริราชอยู่บ่อยๆ
จะเห็นได้ว่ารถยนต์พระที่นั่งคันนี้ ไม่ใช่รถที่มีการตกแต่งหรูหรา แต่เป็นรถที่เหมาะสมต่อการใช้งาน การตกแต่งภายในเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะเล็กๆไว้ทรงงาน ซึ่งพระองค์ท่านก็ประทับรถยนต์พระที่นั่งองค์นี้มาตลอด และให้ช่างคอยซ่อมแซมอยู่เสมอ ไม่ได้ซื้อรถยนต์พระที่นั่งคันใหม่ ... และสิ่งนี้ ก็สะท้อนชัด กับสิ่งที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติไว้ให้เห็นถึงปรัชญาความพอเพียง สมกับเป็นรถยนต์พระที่นั่งคันสุดท้าย ที่ได้อัญเชิญพระบรมศพ ส่งเสด็จจากโรงพยาบาลศิริราช สู่พระบรมมหาราชวัง
ภาพประวัติศาสตร์ที่ฉายผ่านรถยนต์พระที่นั่งองค์ต่างๆ สะท้อนถึงความใส่ใจในราษฎร เป็นความโชคดีของประเทศไทย ที่มี “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยมายาวนาน ข้าพเจ้า นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี