ต่อเนื่องกับบทความซีรี่ส์ตอนที่ 3 กันเลยครับ “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้งกับบรรยง พงษ์พานิช” ทางคอลัมน์การเมืองเรื่องเงินๆ แนวหน้าตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ตีแผ่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมา 21 ปีก่อน จากประสบการณ์การทำงาน และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จากงานวิเคราะห์ที่กลั่นออกมาเป็นคำบอกเล่าจากบุคลากรคนสำคัญของประเทศไทยที่คร่ำหวอดในวงการนี้มาตลอด
คุณบรรยง ได้เขียนเล่าเบื้องหลังเอาไว้ว่า… พอเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นมาแล้ว เราก็เลยได้มีโอกาสร่วมให้ข้อมูลความเห็นกับทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ได้พบพูดคุยกับ ทีม IMF,World Bank,ADB และรวมไปถึง คุณ Kerrigan (อดีตประธาน FED จากนิวยอร์กที่ปรึกษาคุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์) แม้กระทั่งคุณพอล Krugman ผู้โด่งดังจากวิกฤตินี้ แวะมาเมืองไทยยังแวะคุยกับเรา
ส่วนทางการเราก็ได้ร่วมให้ข้อมูลรวมทั้งเสนอมาตรการต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ และขอยืนยันว่าเราไม่เคยได้รับข้อมูลที่ไม่สมควรเป็นการตอบแทนใดๆ เลย
เรื่องราวภายหลังจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลจาก พลเอกชวลิต เป็น รัฐบาลชวน หลีกภัย มีการลงนาม LOI ฉบับที่ 2 เมื่อ 25 พ.ย.2540 (ซึ่งฉบับแรกที่ลงนามจนมีผลผูกมัดนั้นทำกันเสร็จตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ก่อนคุณชวนเข้ามา แต่ก็ต้องมารับผลภาระผูกพันต่อ) ทาง IMF ก็ส่งทีม rescue นำโดยคุณ Hubert Neiss มาประจำประเทศไทย ร่วมกับรัฐแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนที่สุด ระยะแรกจะต้องหยุดยั้งความระส่ำระสาย สร้างเสถียรภาพให้เกิดให้ได้ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุ และเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอยู่
วิกฤติครั้งนั้นเป็นวิกฤติภาคเอกชน ซึ่งกู้หนี้ยืมสินระยะสั้นจากต่างประเทศจำนวนมากมาลงทุน แล้วไม่มีผลผลิตออกมาให้คุ้มกับที่ลง พอเขาขอเงินคืนก็เลยคว่ำ (ไม่เหมือนภาครัฐนะครับ เจ๊งแค่ไหนก็ยื้อต่อได้ เช่น Airport Link, Elite Card หรือแม้แต่โครงการภาครัฐอื่นๆ ที่เห็นตามข่าวกัน)
ทีนี้พอลดค่าเงินก็เลยเจ๊งลึกใหญ่ เพราะกู้เขามา 100,000 ล้านเหรียญ ตอนกู้แลกได้เงินในสกุลบาท 2.5 ล้านล้านบาท แต่พอเขาขอคืนที่ 50 บาทต่อเหรียญ ต้องคืน 5 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ก็ต้องชักดาบ ไม่มีคืน ถ้าเป็นเอกชนก็พักหนี้ เจรจากันไป แต่ถ้าเป็นสถาบันการเงินเบี้ยวไม่ได้ ระบบล่ม รัฐจึงต้องเข้าช่วย ต่อท่ออัดเงินเข้าไปตลอด เงินสำรองก็เหี้ยนจนจะหมด เลยต้องไปแปะ IMF ไงครับ (มาเลเซียโชคดี ที่คว่ำโดยยังไม่โดนโจมตี ไม่ทันได้สู้ เงินสำรองไม่ร่อยหรอ โดยใช้ Capital Control แก้ปัญหาแทน แถมโชคดีน้ำมันราคาขึ้น มาเลเซียก็เลยฟื้นเร็ว ขืนเราทำตาม เราจะเละอย่างเขียดแน่)
ถึงจะทำงานกันอย่างหนัก แต่กว่าจะสร้างเสถียรภาพได้ก็ล่วงไปไตรมาส 2 ปี’41 ค่าเงินเริ่มขึ้นจาก 55 บาทต่อเหรียญ มาอยู่แถวสี่สิบต้นๆ แล้วก็เริ่มดุลยภาพแถวนั้น ไม่ผันผวนมากอีกร่วมสิบปี ก่อนจะค่อยๆแข็งขึ้นมาให้ผู้ส่งออกที่ไม่เคยคิดจะปรับปรุงผลิตภาพร้องโวยวายถึงทุกวันนี้
จากนี้จะขอเล่าการแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไม่เล่าตาม timeline แล้วนะครับ
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องระบบสถาบันการเงิน ตอนเกิดวิกฤติ มีเงินให้กู้ทั้งระบบ อยู่ประมาณ 6 ล้านล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ย สถาบันการเงินจะมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 12% คือ 700,000 ล้าน สุดท้าย NPL เราไปหยุดที่เฉลี่ย 45% คือ 2.7 ล้านล้านบาท โดยทั่วไปในวิกฤติเศรษฐกิจ NPL recovery rate อย่างเก่งก็ได้ 55% คือจะเสียหายครึ่งหนึ่งซึ่งก็คือ 1.35 ล้านล้าน ซึ่งมากกว่าเงินกองทุนอยู่ 650,000 ล้าน ซึ่งโดยหลักรัฐที่เป็นผู้ค้ำประกันเงินฝากและหนี้สิน จะต้องรับภาระส่วนนี้ (นี่ประเมินคร่าวๆ นะครับ เพราะจริงๆ รัฐเสียหายรวมจากการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน 1.4 ล้านล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รวมดอกเบี้ย อาจได้คืนบ้างจากทรัพย์สินที่มีอยู่
และไม่มีสถาบันการเงินไทยไหนเลยที่มี NPL ต่ำกว่า 40% และมีเงินกองทุนเกิน 15% สรุปได้ว่า ทุกแห่งมีเงินทุนติดลบ ซึ่งแปลว่า ในที่สุดจะเจ๊งเรียบ รัฐซึ่งเป็นผู้ค้ำจะต้องเข้ายึดเป็นของรัฐหมด
เรื่องความเสียหายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่จะต้องมีระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจนั้น สำคัญกว่า และถ้าทุกธนาคารเป็นของรัฐทั้งหมด ลองนึกภาพว่า เรามีแต่ธนาคารอิสลาม ธนาคารSMEs อาคารสงเคราะห์ ออมสิน สิครับ มันเป็นที่ยอมรับทั่วโลก แล้วว่าถ้ารัฐทำเอง จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าประชาชนที่ทำกันในตลาดเสรีเสมอ ทีนี้เลยเป็นโจทย์ใหญ่แสนยากของคลัง ธปท. และ IMF ว่าทำอย่างไรจึงจะให้ระบบคงอยู่ และยังเป็นของเอกชนในสัดส่วนที่สูง โดยที่จะต้องไม่เข้าไปอุ้มผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร อย่างไม่สมควร ซึ่งพระเอกของเราทำได้สำเร็จ เป็นเรื่องของฝีมือ เก่ง บวกด้วยเฮงด้วยอีกนิดหน่อย ขอขยายให้ฟัง
ขั้นแรกถึงจะเจ๊งหมด ก็ต้องแกล้งบอกว่ายังไม่เจ๊งก่อน เพราะไหนๆ รัฐก็ค้ำแล้ว วิธีการก็คือ แทนที่จะให้บันทึกความเสียหายทั้งหมดในคราวเดียว ก็ยอมว่า ถ้าหนี้ค้างยังไม่ถึง 12 เดือน ก็ถือว่ายังไม่เสียมาก ไม่ต้องตั้งสำรองเต็มที่ แถมการตั้งสำรองก็ให้เวลาตั้งสามปีห้าปี มาตรฐาน BIS ยกเว้นให้ก่อน ซึ่งเป็นการซื้อเวลา ให้ไปแก้คุณภาพสินทรัพย์ทางหนึ่ง กับให้ไปหาเงินมาเพิ่มทุนที่ติดลบอีกทางหนึ่ง (ดูเผินๆ คล้ายโครงการจำนำข้าวที่บอกว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน เพียงแต่วัตถุประสงค์ ความโปร่งใส ชัดเจนกว่าเยอะ)
กระนั้นก็ตาม ถ้าธนาคารไหนไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากเงิน และผู้ให้กู้ได้ ต้องใช้เงินช่วยที่ ธปท.ต่อท่อให้เกินระดับทำให้ท่อแทบแตก รัฐก็จะเข้าควบคุม และยึดเป็นของรัฐ รวมทั้งหลังจากให้เวลาแล้วถ้าใครยังแก้ไขเงินกองทุนไม่ได้ก็ถูกยึด ถูกยุบ ถูกรวม เหมือนกัน จึงจะเห็นได้ว่า ในที่สุด กว่าครึ่งก็ค่อยๆเดินพาเหรดมามอบตัวเป็นของรัฐ เช่น ธ.ศรีนคร นครหลวงไทย นครธน มหานคร แหลมทอง สหธนาคาร รัตนสิน กรุงเทพฯพาณิชย์การ ฯลฯ เป็นเครื่องยืนยันว่าเงินกองทุนติดลบจนเกินกว่ามูลค่าของ license หรือ franchise value ใดๆ
ทีนี้ก็มีเรื่องโชคช่วยบ้าง ปลายไตรมาสแรกของปี’41 ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวคึกคักขึ้นมา เพราะนักลงทุนเริ่มมั่นใจในแนวทางแก้ไข และเห็นเสถียรภาพเริ่มกลับมา ธนาคารกสิกรไทยก็ริเริ่มรีบออกหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งที่ทำได้เร็ว ก็เพราะที่ปรึกษาเก่ง นั่นคือ ภัทร กับ Goldman Sachs
ผมยังจำได้ถึงความยากลำบากในการขายหุ้นครั้งนั้น เพราะเป็นการขายหุ้นแรกจากประเทศที่เกิดวิกฤติ ผมร่วมเดินทางรอบโลกไป Roadshow อ้อนวอนให้เขาซื้อ กับคุณปั้น- บัณฑูร ล่ำซำ ไปจนค่อนโลกแล้ว ยังไม่มีใครยอมจองเลย แถม ธนาคารกรุงเทพ รีบประกาศ ทำบ้าง กว่าจะขายได้หมด เลือดตาแทบกระเด็น น้ำลายแห้งเหือดไปหลายเดือน meetingการขายหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำนวน 376 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 88 บาท ได้เงิน 33,088 ล้านบาท (ตัวเลขพวกนี้จำได้ขึ้นใจ ไม่ต้องค้นเลยครับ ผมเชื่อว่าคุณปั้นก็จำได้เหมือนกัน)
ตามด้วยการขายหุ้นแบงก์กรุงเทพ อีก 43,000 ล้านในเดือนถัดมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิกฤติ แล้วหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็รูดม่านปิดสนิทอีกเป็นปี กว่าจะมีใครขายหุ้นได้อีก
ส่วนธนาคารที่เหลือที่ตกรถไฟ ก็มีอาการพะงาบๆต่ออีกพัก จนรัฐต้องออกมาตรการ 14 ส.ค.2541 เพื่อช่วยเพิ่มทุนให้แบบวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง แต่กว่าจะเพิ่มได้จริงก็ข้ามปี เช่น ไทยพาณิชย์ ที่มีคุณชุมพล ณ ลำเลียง เข้ามาช่วยฟื้นฟู หลังจากที่ท่านเอาปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งก็เซไปเหมือนกัน ตั้งหลักได้ดีแล้ว ก็เพิ่มทุนทีเดียว 65,000 ล้าน ในเดือนพ.ค.2542 แต่ก็เลยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด จนกระทั่งทรัพย์สินฯ ต้องเอาที่ดินโรงพยาบาลรามาธิบดีไปแลกกลับมาในภายหลัง ธนาคารอื่น เช่น ทหารไทย กรุงศรี ก็ทยอยเพิ่มทุนได้ จนระบบเริ่มมีเสถียรภาพ โดยยังคงมี ธนาคารเอกชนเป็นหลักอยู่สี่ห้าแห่ง
จบ “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้ง กับบรรยง พงษ์พานิช ตอนที่ (3) แต่เพียงเท่านี้ ต่อตอนที่ 4 กันใหม่สัปดาห์หน้าครับ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี