หลังจากผ่านมานานหลายปีคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่ยืดเยื้อเป็นข่าวมาตั้งแต่ปี 2546 ก็จะยุติลงไปตามกระบวนการยุติธรรมคดีนี้ได้รับทราบจากนักกฎหมายระดับอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาว่าถ้าหากธนาคารกรุงไทยไม่ใช่ธนาคารรัฐวิสาหกิจหากเป็นธนาคารพาณิชย์ธรรมดาๆ เรื่องก็คงไม่โด่งดังนักแต่นี่เป็นธนาคารของรัฐเรื่องจึงต้องมาสู่ศาลให้ศาลท่านพิจารณาว่าใครมีความผิดอย่างใดบ้างแม้จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและบุตรชายก็จะหนีความผิดไปไม่พ้น
และคดีนี้ผู้เป็นจำเลยนั้นหลายๆ คนเป็นคนที่โด่งดังระดับชาติและระดับประเทศมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเป็นที่รู้จักกันในวงสังคมเป็นศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษาระดับชาติมาตั้งแต่เด็กๆบางรายก็เป็นเพื่อนฝูงเคยเล่นกีฬาเป็นนักกีฬาทีมชาติมาด้วยกันและรู้จักกันมานานมากกว่า 40-50 ปีด้วยซ้ำไป แต่มาพลาดตกม้าตายเพราะการทุจริตครั้งนี้นึกว่าเป็นของตายแต่มันไม่ง่ายแบบที่คิดเอาแบบนักการเมืองและการที่ไม่ทำการบ้านศึกษาให้ดีจึงพลาด
เมื่อกลางปี 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุก ร.ท.สุชายเชาว์วิศิษฐ อดีตประธานคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย เป็นเวลา 18 ปี จากการที่ได้อนุมัติสินเชื่อกว่า 8 พันล้าน ให้กับบริษัทในเครือของบมจ.กฤษดามหานครพร้อมให้ร่วมกันชดใช้เงินคืนให้กับธนาคารกรุงไทย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ และกลุ่มเอกชนที่ทำการขอสินเชื่อให้จำคุกคนละ 12 ปีโดยคดีนี้ มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 แต่ศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ชั่วคราว เนื่องจากหลบหนีคดีสำหรับพฤติการณ์ของคดีมีรายละเอียดตามฟ้องว่าผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้นได้ให้สินเชื่อกับกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร
เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือ ไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3ประเภท คือ การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวน 500 ล้านบาท, การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียลพาร์ค จำกัด 9,900 ล้านบาท เงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท และการอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัทแกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัดจำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท
ศาลถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ร่วมหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร เป็นประโยชน์ส่วนตนกับพวกหากได้มองย้อนกลับไปในชั้นการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหลังรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 พบว่า
เมื่อตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไต่สวนต่อนั้น ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน
ในครั้งนั้น กรรมการท่านหนึ่งได้ระบุว่าการดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอนตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการโอนเงินให้ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต สส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขานุการส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย จำนวน 4,500 ล้านบาท
คตส. ได้เคยกล่าวหาว่า มีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง 5 คณะ ได้แก่ กลุ่มนักการเมืองกับพวกพ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร, นายพานทองแท้ ชินวัตร,นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และนายมานพ ทิวารีกลุ่มคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย อาทิ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย กลุ่มคณะกรรมการสินเชื่อธนาคารกรุงไทยกลุ่มพนักงานเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงไทย, กลุ่มนิติบุคคลและผู้บริหารบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเงินทั้งหลาย
คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ, กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน 27 ราย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 โดยมี 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายพานทองแท้รวมด้วยคดีนี้ศาลใช้เวลาใช้การพิจารณาคดีเป็นเวลา 3 ปี จึงมีคำพิพากษาออกมาในปี 2558
ปี 2560 ศาลฎีกามีคำสั่งยกเลิกคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว และมีคำสั่งให้ดำเนินการกระบวนการพิจารณาต่อไป โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยและนายพานทองแท้ ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษพร้อมให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาจากนั้นนายพานทองแท้ได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นหนังสือขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบปากคำพยานเพิ่มโดยพนักงานสอบสวนอนุมัติสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องโดยตรง 8 คน คดีนี้จะครบอายุความ 15 ปี ภายในสิ้นปี 2561 สำหรับความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษตามกฎหมาย จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับล่าสุดที่ตกเป็นจำเลยในคดีมี 3 คน คือ นายพานทองแท้, นางกาญจนาภาและสามี นายวันชัย หงษ์เหิน เพื่อนคนหนึ่งของนายวิโรจน์ นวลแข ในขณะเป็นนักกีฬาทีมชาติมาตั้งแต่หนุ่มๆ คดีนี้คงจะทราบผลในอีกหลายปีและก็ไม่มีใครไปกลั่นแกล้งใครทางการเมืองเพราะกรรมใดใครก่อกรรมนั้นก็ย่อมจะแสดงผลออกมาความจริงก็ยังต้องเป็นความจริงจนได้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี