จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยเรามีขยะพลาสติกเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 12 ของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือประมาณปีละ 2 ล้านตัน ประกอบกับเหตุการณ์วาฬ และเต่าทะเลเสียชีวิต โดยพบถุงพลาสติกในท้องเป็นจำนวนมากจนปลุกกระแสความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกล้นโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนดังจะเห็นได้จากการที่ประชาชนลุกขึ้นมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก งดใช้หลอดพลาสติก หรือจับจ่ายสินค้ารีไซเคิลทั้งหลาย
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับตัวเลข 2 ล้านตัน นั้นคือ ขยะพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้มีเพียง 0.5 ล้านตันต่อปี หรือร้อยละ 25 เท่านั้น ที่เหลืออีก 1.5 ล้านตัน อยู่ในกองขยะซึ่งถูกนำไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบและเผาทำลาย บางส่วนก็เล็ดลอดไหลออกสู่ทะเล จนกลายเป็นวิกฤติขยะทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างในระดับโลก
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อวิกฤติขยะพลาสติกดังกล่าวเพราะมีการวางนโยบายแผนการจัดการพลาสติกอย่างบูรณาการ โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เริ่มจากการรณรงค์ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและงดการใช้โฟม โดยใช้หลัก 3R คือ ลดการใช้ (Reduce) ที่แหล่งกำเนิด การใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำมาแปรรูปใช้ใหม่ (Recycle) ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
สำหรับการรีไซเคิลนั้นน่าจะเป็นแนวทางที่มีการถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในการบริหารจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนมากที่สุดปัจจุบันในหลายๆ อุตสาหกรรมก็มีการนำพลาสติกรีไซเคิล มาผลิตเป็นสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า รองเท้า หรือข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ แม้กระทั่งอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเอง ซึ่งในต่างประเทศก็มีการส่งเสริมให้มีการนำภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลหรือRecycled PET (rPET) มาใช้ได้ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป โดยเยอรมนีเป็นประเทศ ที่มีอัตราการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสูงถึงร้อยละ 50 (อ้างอิงรายงานจาก Plastics Europe Association of Plastics Manufacturers ปี 2560)
ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย ขณะที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติกในประเทศไทยมีความพร้อมด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ที่มีความสะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภคและได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา และระเบียบคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มไทยยังไม่สามารถใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลเนื่องจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 พ.ศ.2548 ข้อ 8 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ใช้ภาชนะบรรจุที่ทำขึ้นจากพลาสติกที่ใช้แล้วบรรจุอาหาร เว้นแต่ใช้เพื่อบรรจุผลไม้ชนิดที่ไม่รับประทานเปลือก”
ทั้งนี้ การทำขวดพลาสติกรีไซเคิลไม่ใช่การนำขวดที่ใช้แล้วมาล้างทำความสะอาดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แต่กรรมวิธีคือต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ตั้งแต่คัดแยกเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม ต่อด้วยการชำระล้างทำความสะอาดโดยใช้อุณหภูมิสูงอีกหลายครั้งเพื่อฆ่าเชื้อโรคและขจัดสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายก่อนที่จะใช้ความร้อนสูงถึง 285 องศาเซลเซียสเพื่อนำเกล็ดพลาสติกที่ถูกสับละเอียดไปหลอมต่อเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพปลอดภัยสูงสุด สามารถนำไปผลิตขวดบรรจุเครื่องดื่มได้อีกครั้ง
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เราได้เห็นความตั้งใจของสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และอินโดรามา เวนเจอรส์ ผู้ผลิตพลาสติก PET รายใหญ่ที่สุดของโลก ที่แสดงความพร้อมในการนำขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มที่ทำจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ และพร้อมจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับหลายประเทศ คงต้องรอดูต่อไปว่าความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ส่งเสียงบอกถึงความพร้อมที่จะลงทุนครั้งสำคัญ จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายได้มากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลทั้งหมดนี้ มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านขยะพลาสติก ก็ต้องช่วยๆ กัน ผ่อนคลายกฎหมายต่างๆ เพื่อช่วยลดปริมาณสารพัดขยะของประเทศให้น้อยลงกว่าเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี