หลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเกิดขึ้นจากการเมือง 3 ขั้ว
ขั้วใดขั้วหนึ่ง คงยากจะจัดตั้งรัฐบาล เพราะเสียงสนับสนุนให้มีเสถียรภาพคงลำบาก แต่คงต้องผสม 2 ขั้วการเมืองเข้าด้วยกัน
ขั้วที่ 1 เป็นขั้วที่สืบทอดอำนาจ “ระบอบทักษิณ” มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ตามด้วยเพื่อธรรม เพื่อชาติ อนาคตใหม่ ประชาชาติ และเสรีรวมไทย
ขั้วที่ 2 เป็นขั้วที่สืบทอดอำนาจ “ระบอบทหารยึดอำนาจ” มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ตามด้วยรวมพลังประชาชาติไทย ประชาชนปฏิรูป และที่สำคัญ มี “สมาชิกวุฒิสภา 250 คน” ด้วย
ขั้วที่ 3 เป็นขั้ว “เสรีนิยมประชาธิปไตย” มีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าที่เป็นสถาบันทางการเมืองมากสุด
นอกจากนี้ ยังมี “พรรคพร้อมร่วมผสม” อีกหลายพรรค อาทิ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา ที่มีความสามารถสูงในการเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับขั้วการเมืองใดก็ได้ แม้พรรคภูมิใจไทยจะได้ประกาศไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แต่ถึงเวลาก็อาจพลิกผัน หาเหตุเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนาที่อดีตเคยพลิกผันไปร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย เพื่อให้ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯมาแล้ว ทั้งๆ ที่ เคยประกาศไว้อีกอย่างหนึ่ง
โอกาสจัดตั้งรัฐบาล
1. แม้ขั้วที่ 1 “ระบอบทักษิณ” รวมกับ “พรรคพร้อมร่วมผสม” บางพรรค อาจจะได้จำนวน สส.สนับสนุนเกิน 250 คน แต่ก็คงจะยากที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะการเป็นแกนนำและได้รับเลือกนายกรัฐมนตรี จะต้องได้รับการสนับสนุนจากการประชุมร่วมสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งจะต้องได้สมาชิกสนับสนุนรวมกัน 375 คน ขึ้นไป โอกาสจึงน้อยมากๆ เพราะ สว. 250 คน มาจากการการสรรหาและแต่งตั้งโดย คสช.
2. ขั้วที่ 2 แม้จะนำคะแนนของ 3 พรรค ที่ประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มารวมกับ
“พรรคพร้อมร่วมผสม” โอกาสที่จะได้จำนวน สส.สนับสนุนเกิน 250 คน น่าจะยากมาก
แม้จะนำจำนวน สส. ร่วมกับ สว. 250 คนแล้ว ได้จำนวนเกิน 375 คน ก็ยังยากจะจัดตั้งรัฐบาลให้
พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้อย่างมีเสถียรภาพ เพราะเมื่อจำนวน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรน้อยกว่า 250 คน ก็กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทน
ราษฎร พ.ร.บ.สำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน ที่จะเข้าพิจารณาในเดือน ก.ค.-ส.ค. ก็อาจไม่ผ่านการเห็นชอบ และต้องลาออกหรือยุบสภา
3. ขั้วที่ 3 ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ แม้จะได้จำนวน สส.จากพรรค “พร้อมร่วมผสม”
ก็คงยากจะได้จำนวน สส.เกิน 250 คน และเมื่อจะต้องได้ผู้สนับสนุนร่วม 2 สภา 375 คน ก็คงยากที่ สว. 250 คน ที่ คสช.เลือกมาจะสนับสนุน
ทางออกของการจัดตั้งรัฐบาล
แบบที่ 1
ขั้วที่ 2 พรรคพลังประชารัฐ และขั้วที่ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีจำนวน สส.และ สว. สนับสนุนรวมกันเกิน 375 และถ้าไม่มั่นใจจำนวน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรว่าอาจจะเกินจำนวน 250 คนไม่มากนัก ก็เติมพรรค “พร้อมร่วมผสม” 1-2 พรรคก็ได้
แต่เงื่อนไขสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ คือ พลเอกประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐต้องยินดีให้คุณอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกฯ แล้วพลเอกประยุทธ์เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ซึ่งจะดูดี แต่คงยากมากที่พลเอกประยุทธ์จะยอมเสียสละ
แบบที่ 2
ขั้วที่ 2 พรรคพลังประชารัฐ และขั้วที่ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเหมือนแบบที่ 1 แต่ให้ พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ยากมาก เพราะคุณอภิสิทธิ์ได้เคยประกาศแนวทางของประชาธิปัตย์แล้วว่า จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่ออีก
หนทางเป็นไปได้ คุณอภิสิทธิ์ต้องเสียสละไม่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วพรรคมีมติเข้าร่วม ดังที่ สส.ประชาธิปัตย์กลุ่มหนึ่งแย้มๆ ออกมา แต่วิธีนี้ พรรคประชาธิปัตย์คงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ เสียทั้งคน เสียทั้งพรรค
แบบที่ 3
ขั้ว 2 พรรคพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาล โดยมีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้วได้รับการสนับสนุนจาก สส.ประชาธิปัตย์ที่แปลงร่างเป็น “งูเห่า” เข้าสนับสนุน เพราะต้องการอยู่ฝ่ายที่มีอำนาจ ซึ่งก็เป็นไปได้ ไม่ถึงกับตัดโอกาสนี้เสียทีเดียว
แต่ระยะยาว สส. “งูเห่า” เหล่านี้ ก็อาจจะกลายเป็นงูดิน หรือไส้เดือนในวงการเมือง
แบบที่ 4
ขั้วที่ 2 พรรคพลังประชารัฐ และพรรคพร้อมร่วมผสม จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร เพราะมีจำนวน สส.สนับสนุนน้อย ภายใต้การสนับสนุน สว.250 คนไปก่อน แล้วคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อขาดเสถียรภาพในสภาผู้แทนราษฎร โดยพยายามดึงประชาธิปัตย์เข้าร่วมเมื่อถึงเวลานั้น
แบบที่ 4 นี้ คล้ายกับรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อปี 2522 ที่เกิดปัญหาไร้เสถียรภาพในสภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงชักชวนพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ว่ากันว่า พลเอกเกรียงศักดิ์ นายกฯ คิดจะยุบสภา แต่นายทหารที่หนุนอยู่ข้างหลังไม่เห็นด้วย พลเอกเกรียงศักดิ์จึงลาออกจากการเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ได้
ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล เป็นรัฐบาลที่อยู่ได้ตั้งแต่ปี 2523-2531 รวม 8 ปี
แบบที่ 5
ขั้วการเมืองที่ 1 พรรคระบอบทักษิณ นำโดยพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นในเครือ จัดตั้งรัฐบาล โดยมี สส.งูเห่า จากกลุ่มก๊วนที่เคยอยู่เพื่อไทย แล้วย้ายกลับไปสนับสนุนสุดารัตน์หรือชัชชาติเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาล
แต่ทางเลือกแบบนี้จะยากและมีโอกาสน้อยมากๆ เพราะเท่ากับว่ากลุ่มก๊วนที่เคยอยู่เพื่อไทยแล้วย้ายไปพลังประชารัฐ หักหลัง หรือเป็นหนอน ซึ่งสังคมนักเลง
เขาไม่ทำกัน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบกลับอย่างรุนแรง
การจัดตั้งรัฐบาลรอบแรกนี้ งูเห่าอาจไม่เกิด แต่เมื่อผ่านรอบแรกไปแล้ว รอบต่อๆ ไป ก็อย่าได้วางใจกลุ่มก๊วนที่ย้ายเข้ามาซบพลังประชารัฐ เพราะถึงเวลานั้น สัญญานักเลง บุญคุณในวงการการเมืองมันจางไปแล้ว ก็จะเหมือน “งูเห่า” ที่เคยเกิดในอดีต
แบบที่ 6
เพื่อให้รัฐบาล คสช. โดยพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป ก็เลือกแต่งตั้ง สว. 250 คน ที่สั่งได้ และสั่งให้ สว.250 คน กระจายโหวตเลือกนายกฯหรือจะงดออกเสียงก็ได้ จนทำให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ จากพรรคการเมือง ไม่ได้เสียงข้างมากของสองสภา คือ ไม่มีใครได้ผู้สนับสนุนถึง 376 คน
มีความหมายว่า รัฐบาล คสช.ก็จะเป็นรัฐบาลต่อไป
สุดท้าย
60 วันจากนี้ คงต้องติดตาม จับตาการเมืองไทย และก็คงจะได้เพียงจับตา เพราะอำนาจของประชาชนในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหมดไปแล้ว ก็อยู่ที่ตัวแทนที่เราเลือก รวมทั้ง สว. 250 คน ที่ คสช.เลือก จะปฏิบัติหน้าที่ได้ตามอุดมการณ์ที่เคยสัญญาไว้หรือไม่
เราจะได้รัฐบาลใหม่ทันพระราชพิธีราชาภิเษก หรือไม่?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี