เราเพิ่งจะผ่านพ้นวันครอบครัวไปได้ไม่นาน มีคำถามที่น่าคิดว่า ในยามที่ประเทศไทยกำลังพบข้าศึกใหม่ สงครามใหม่ คือ “สังคมสูงวัย” ที่จะมีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงมาก สัดส่วนคนวัยทำงานและเด็กเกิดใหม่จะน้อยลง และเด็กที่เกิดก็มักจะเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อม ส่วนที่พร้อมก็ไม่ท้อง ครอบครัวใหม่จึงมีลูกเพียง 1-2 คน บางครอบครัวก็ไม่มีลูกเลย
1. ครอบครัว จะยิ่งเพิ่มความสำคัญในยามที่เราจะมีข้าศึกใหม่ “สังคมสูงวัย” ในอีกไม่นาน
คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับแรก คือ คนอายุ 40-50 ปีในปัจจุบัน เพราะอีก 10 ปีเศษ ที่มีผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้สูงอายุ ภาระจะตกกับคนวัยทำงานในปัจจุบัน อายุ 20-30 ปี ที่ต้องดูแลพ่อแม่ และจ่ายภาษีเพื่อเป็นสวัสดิการของรัฐ
2. โชคดีของสังคมไทยที่เป็นครอบครัวขยาย ผู้สูงอายุ คนวัยทำงาน (ครอบครัวใหม่) ยังอยู่ด้วยกัน หรือดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
ผู้สูงอายุ คือ ผู้เชี่ยวชาญชีวิต ที่ผ่านประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้อย่างสำคัญที่สามารถเป็นสติของครอบครัว และสามารถถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์สู่ลูกและหลาน
ปัจจุบัน มีคนวัยทำงานจำนวนหนึ่ง ที่ต้องละทิ้งครอบครัว เพื่อไปทำงานที่ไกลบ้าน ตามระบบและโอกาส ต้องละทิ้งความสัมพันธ์กับพ่อ-แม่ และลูกที่เอาไปฝากไว้กับยาย-ย่า
3. หากประเทศไทยจะได้ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจที่ไม่กระจุกตัวอยู่ที่หนึ่งที่ใดตามที่นักลงทุนต้องการ แต่กระจายโอกาส กระจายโครงสร้างพื้นฐาน ให้กิจการและการจ้างงานกระจายอยู่ในหัวเมืองชนบท สร้างโอกาสให้คนทำงานได้อยู่กับครอบครัวเดิม (พ่อ-แม่) และครอบครัวใหม่(ลูก) ก็จะทำให้หน่วยที่สำคัญที่สุดในสังคม คือ ครอบครัว ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่น่าจะเอื้ออำนวยให้ทำให้การกระจายการทำงานเกิดได้ง่ายขึ้น
4. ปัจจุบัน เราได้พบเห็นว่า วันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ คนวัยทำงานต้องเดินทางหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อไปพบหน้าพ่อแม่และลูก ต้องเสี่ยงต่อความแออัดบนถนน และมีสถิติผู้เสียชีวิตในยามนั้นมากขึ้น
การพบกันอย่างฉาบฉวย ไม่ได้ซึมซับวัฒนธรรม ความคิด และการดำรงชีวิตซึ่งกันและกันมากเท่าที่ควร
5. ครอบครัวของคนรุ่นใหม่ ควรต้องตระหนักความจริงที่ว่า คนไทยสมัยนี้สุขภาพดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น ต้อง
ส่งเสริมให้ผู้เชี่ยวชาญชีวิตของเราไม่หยุดการทำงาน แต่เลือกการทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถที่เปลี่ยนไปตามอายุ และสภาพของแต่ละคน
การทำงานไม่ใช่เพียงมีรายได้ แต่การทำงานช่วยเป็นกิจกรรมบำบัดให้ชีวิตมีความหมาย ได้อยู่กับสังคมเพื่อนร่วมงาน และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ไม่ต้องเป็นภาระนอนดูเพดานห้องและเอนดูทีวี
ตัวของคนวัยทำงานเองก็ต้องรู้ว่าอนาคตจะต้องสูงอายุ จึงควรคิดวางแผนชีวิตว่าจะต้องเรียนรู้ ฝึกทักษะความสามารถให้สามารถเปลี่ยนอาชีพการทำงานในยามสูงอายุได้ด้วย
6. คนวัยทำงานรุ่นใหม่ จะต้องรู้จัก “วางแผนครอบครัว” ในความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การคุมกำเนิดอย่างที่คนถนัดคิด แต่เป็นการวางแผนชีวิตครอบครัวให้สมสมัย ว่าจะมีลูกอย่างน้อยกี่คน? ถ้ามีลูกน้อย อนาคตครอบครัวของเราก็จะมีแต่ผู้สูงอายุ ใครจะรับผิดชอบ?
ครอบครัวและตัวเราเองต้องมีเงินออมมากน้อยเท่าไหร่? เพราะเมื่อยามที่เราต้องหยุดทำงาน แต่ยังมีชีวิตต่อไปอีก 20 ปี เราจะต้องมีเงินออมเท่าไหร่? สมมุติต้องการใช้จ่ายเงินค่าอาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ เดือนละ 20,000 บาท
ในระยะ 20 ปี ถึงจะตาย เราต้องมีเงินออมวันหยุดทำงานคนละประมาณ 5 ล้านบาท
ดังนั้น เราต้องเริ่มออมเงินตั้งแต่เมื่อไหร่ ออมเดือนละเท่าใด ครอบครัวเราจะต้องออมด้วยต้นไม้หรือไม่ เพราะหากปลูกต้นไม้ยืนต้นวันนี้ อีก 30 ปีข้างหน้า ต้นไม้ 1 ต้น มีค่าหลายหมื่นบาท เป็นบำนาญชีวิตได้ ครอบครัวของเราจะต้องชักชวนกันปลูกไม้ยืนต้นทุกปี ปีละกี่ต้น
7. จะต้องสำรวจบ้านและสภาพแวดล้อมของการอยู่อาศัยให้สอดคล้อง เหมาะสมกับ “สังคมสูงวัย” เมื่อไหร่? เพราะการพลัดตก หกล้ม เกิดต้นทุนการรักษาพยาบาลและพิการ มากกว่าการป้องกันดูแลไม่ให้เกิดเหตุอย่างมาก
ห้องน้ำต้องไม่ลื่น มีราวจับ ที่นั่งถ่ายต้องไม่ต่ำเกินไป เพราะผู้สูงอายุจะลุกนั่งลำบาก และต้องมีราวจับพยุงตัว
พื้นที่ต่างระดับทุกแห่งในบ้านและบริเวณรอบบ้าน ต้องปรับเป็นทางลาด มีราวจับ
ในที่สุด ตัวคนวัยทำงานรุ่นใหม่ ก็จะต้องสูงอายุ และคนสูงอายุก็คือคนพิการทีละอย่างๆ ของอวัยวะในร่างกาย จึงควรปรับสภาพเสียทีเดียว เพื่อใช้กับทุกคนในครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก หรือไม่?
8. คนวัยทำงานรุ่นใหม่ ควรจะได้พาพ่อ-แม่ ผู้สูงอายุในบ้านไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้สูงอายุอื่นๆ ในชุมชน จะได้มีพลัง และง่ายต่อการที่หน่วยงานของรัฐจะเข้าช่วยเหลือ
และตัวของคนวัยทำงานก็จะได้มีส่วนร่วม เพราะอนาคตเราก็จะตกในสภาพเดียวกัน แต่แย่กว่า เพราะเวลานั้นจะมีคนสูงอายุจำนวนมาก คนวัยทำงานน้อยมากๆ
9. เพื่อพัฒนาครอบครัวของเราและของคนอื่นให้มั่นคง คนวัยทำงานรุ่นใหม่จะต้องเข้าร่วมกระตุ้นให้องค์กรในสังคม เช่น วัด โรงเรียน และหน่วยงานของรัฐ เช่น รพ.สต. รพ.ชุมชน อปท. รวมตัวกันจัดทำแผนและระบบรองรับ “สังคมสูงวัย” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
10. โรงเรียน ในอนาคตจะว่างมากขึ้น เพราะเด็กน้อยลง เราจะใช้ประโยชน์ของโรงเรียนและครูที่ว่างมากขึ้นอย่างไร หากโรงเรียนจะเป็นโรงเรียนของคน 3 วัย คือ เยาวชน ผู้สูงวัย และวัยทำงาน
คนสูงวัยจะมีสถานที่ทำกิจกรรม ได้ช่วยสอน ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ลูกหลาน ผู้เชี่ยวชาญชีวิตก็จะได้ถ่ายทอดความรู้ความคิดอย่างมีความสุขกับเด็กน้อยลูกหลาน
11. ในอนาคต เมื่อสังคมมีผู้สูงอายุมากขึ้น ย่อมมีปัญหาเจ็บป่วยมากขึ้น เป็นของธรรมดา สถานพยาบาลจะแน่น แออัดมากขึ้น
คนวัยทำงานรุ่นใหม่จะเข้าร่วมกับผู้บริหารสถานพยาบาล ให้มีศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพหลังภาวะวิกฤติ หรือก่อนไปโรงพยาบาล โดยคนวัยทำงานมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยการเข้าไปช่วยดูแล และจะได้กลับไปดูแลต่อที่บ้านได้
และเมื่อถึงเวลาที่มีผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง ก็จะได้มีความรู้ดูแลที่บ้าน และเข้าร่วมเป็นจิตอาสา อสม. ออกเยี่ยมคนป่วยติดเตียงร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ
12. คนวัยทำงานรุ่นใหม่ ต้องกระตุ้นให้คนในครอบครัวได้เข้าใจหลักการว่า เมื่อเราหลีกหนี “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ คือ ยืดเวลาการแก่ให้นานที่สุด คือมีสุขภาพดีให้ยาวนานที่สุด
และเมื่อต้องเจ็บป่วย ก็ขอให้ป่วยสั้นที่สุด แล้วตายไปเลย คนรุ่นใหม่จึงต้องทำให้ทุกคนในครอบครัวสุขภาพดี และเข้าใจมุมมองที่ถูกต้องว่า สุขภาพดีของเรา อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่คอยพึ่งพาคนอื่น
สังคมสูงวัย จะหวังพึ่งใคร?
คนวัยทำงานรุ่นใหม่ จะต้องคิดถึงปัญหาของครอบครัวและสังคมสูงวัยไปข้างหน้า ว่าในอนาคต เมื่อเราสูงอายุ (ซึ่งหนีไม่พ้น) เราจะหวังพึ่งรัฐบาลได้ไหม ตอบแทนได้เลยว่าไม่ได้
จะหวังพึ่งลูก ให้ลูกเลี้ยงดูได้ไหม? ก็คงได้บางครอบครัว แต่ก็จะหวังพึ่งไม่ได้จำนวนมาก
ถ้าเช่นนั้น “สังคมสูงวัย” ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ ที่เป็นข้าศึกใหม่ของสังคม เราจะต้องลุกขึ้น วางระบบครอบครัวของเรา วางระบบสังคมชุมชนท้องถิ่นอย่างไร
โดยไม่ควรหวังรอให้รัฐช่วยวางระบบ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่ารัฐส่วนกลางไม่สามารถดูแลคนทั้งประเทศได้ แม้แต่การจัดตั้งรัฐบาลเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
“วันครอบครัว” จึงไม่ใช่เพียงวันที่ให้ความสำคัญเพียงไปพบทำความเคารพ รัก กินอาหารร่วมกันเท่านั้น แต่ต้องคิดวางแผนชีวิต ครอบครัว ให้ยั่งยืน มั่นคง ร่วมกับชุมชนท้องถิ่น
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี