ในที่สุด กกต.ก็ได้ประกาศรับรองรายชื่อสส.เขต 349 รายและสส.บัญชีรายชื่อ 149 ราย รวมสส.ทั้งสองประเภทเป็น 498 ราย เรียบร้อย “โรงเรียน 7 อรหันต์” แล้ว

เหลือเพียงสส.เขต 1 ราย และสส.บัญชีรายชื่ออีก 1 ราย ที่จะต้องลุ้นต่อไปว่าเป็นคนของพรรคใด ซึ่งคงไม่มีความหมายและมีพลังมากพอในการพลิกผันสถานการณ์การเมือง

ผลพวงจากการรับรองสส.ทั้ง 498 ราย ทำให้การเมืองมีภาพชัดขึ้น โดย “ขั้วอำนาจใหม่” สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ค่อนข้างชัวร์ เพราะรวมสส.ได้มากกว่าครึ่งสภา

ในขณะที่ “ขั้วอำนาจเก่า” ที่แตะมือกัน 7 พรรคแต่รวมกันได้สส.น้อยกว่า ก็ต้องกลายเป็นฝ่ายค้านทุกคนต่างต้อง “กินแห้วเมากัญชา” ไปตามระเบียบ

ก่อนที่กกต.จะรับรองรายชื่อสส.อย่างเป็นทางการ “ขั้วอำนาจเก่า” เคยออกมา “ตีปลาหน้าไซ” ว่าพวกตนมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะรวมเสียงผู้ที่จะได้สส.เกินกว่าครึ่ง

แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้อง “มาตกม้าตาย” เพราะ “กกต.ใช้สูตร 27 พรรคมาคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ” แทนการใช้สูตร 16 พรรค ตามที่ขั้วอำนาจเก่าออกมาโวยวาย จนทำให้ “พรรคท่านตี๋หมื่นล้าน” มีสส.บัญชีรายชื่อ “หายต๋อมไปถึง 8 ราย” นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ “ขั้วอำนาจใหม่” จะสามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่ “สงครามสส.บัญชีรายชื่อยังไม่จบ”

“จบไม่ได้” เพราะขั้วอำนาจเก่าจะกลายเป็น “คณะนักร้องเสียงดัง” เฮโลไปร้องต่อศาลไคฟง เพื่อให้ “ท่านเปาตัดสิน” ว่า กกต.ใช้ 27 พรรค มาคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ“ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ต้องใช้ 16 พรรค มาคำนวณต่างหาก“จึงจะถูกกฎหมาย”

รายการ “จบที่ไม่ยอมจบ” ดังกล่าวกูรูทางกฎหมายหลายท่านได้วิเคราะห์ว่า “การพลิกล็อก” ให้วิธีคำนวณสส.บัญชีรายชื่อแตกต่างไปจากที่ 7 อรหันต์แห่งกกต.ทำไปนั้น “คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ไม่ง่าย” เพราะคณะพระฤาษีที่ร่างกฎหมายขึ้นมานั้นได้ทำให้ “มีอภินิหารในกฎหมาย” กกต.จะตีความคำนวณสส.บัญชีรายชื่อด้วย “สูตรไหน” ย่อมทำได้จ้า

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม