ใครก็ตามที่จะเข้ามารับหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองขณะนี้ โปรดรับรู้ไว้ด้วยว่าบ้านเมืองของเราขณะนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาสำคัญๆหลายอย่างที่ต้องรีบจัดการแก้ไข ทั้งปัญหาเก่าและปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงการรัฐประหารครั้งนี้
โดยเฉพาะปัญหาสำคัญต่อไปนี้
1. ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
2. ปัญหาความแตกแยกและขัดแย้งของคนในชาติ
3. ประชาชนจำนวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
4. ปัญหาความทุจริตประพฤติมิชอบทั้งภาครัฐและเอกชน
5. นักการเมืองส่วนใหญ่ทำงานเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ
6. นโยบายภาครัฐขาดความชัดเจน ความต่อเนื่องและความเป็นเอกภาพ
7. มีการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารในทางที่ผิดซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงต่อสถาบันหลักของชาติ และการเมืองในประเทศ
8. ปัญหาจากต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ
ทั้ง 8 ประการเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องรีบพิจารณาแก้ไข
นอกจากนี้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเฝ้าระมัดระวังในเหตุการณ์รุนแรงต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อในเรื่องต่อไปนี้
1. การเรียกร้องเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันของประชาชนกลุ่มต่างๆ ด้วยการชุมนุมทางการเมืองที่ล่อแหลมต่อการใช้ความรุนแรง
2. ความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการประพฤติปฏิบัติของผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ที่ไม่ยอมฟังเสียงประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียภาษี และผลกระทบที่เกิดจากการทำงานของผู้บริหารที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
3. สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกแรงเสียดทานจากคนบางกลุ่มบางพวกมากขึ้น
4. นโยบายประชานิยมมีมากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมในอนาคต
5. การเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย หรือละเลยการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ
6. ความไม่ระมัดระวังต่างประเทศที่เข้ามาหาประโยชน์
ทั้ง 6 ประการดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง
ถ้าไม่เฝ้าระวังให้ดีในเรื่องต่างๆดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าไม่จัดการแก้ไขอย่างจริงจังแล้ว ปัญหาต่างๆจะยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่กำลังเข้ามารับหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองขณะนี้ สมควรเข้าใจให้มากขึ้นว่าค่านิยมที่ดีงามของบ้านเมืองที่เคยมีมาแต่ก่อนนั้น ขณะนี้กำลังถูกทำให้เสียหายลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของเราได้ถูกบิดเบือน อันเป็นผลมาจากการไหลบ่าเข้ามาในยุคแห่งโลกาภิวัตน์ส่งผลให้สังคมไทย หันไปสู่วัตถุนิยม และให้ความสำคัญแก่ศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีงามที่เคยมีน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน และการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความมีไมตรีน้ำใจระหว่างกันน้อยลง มีการแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ขาดความสามัคคี ไม่เคารพในสิทธิ์ของผู้อื่น ขาดการยึดถือประโยชน์ส่วนรวม
การเข้าถึงบริการของรัฐเกิดความเหลื่อมล้ำ
ประชาชนในเมืองใหญ่มีโอกาสมากกว่าในชนบท
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ฝากให้คณะผู้บริหารบ้านเมืองที่กำลังจะเข้ามารับผิดชอบขณะนี้ ได้รับรู้รับทราบไว้ด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ก็ขอให้นึกถึงเรื่อง“เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงสอนไว้
โดยเฉพาะในเรื่องต่อไปนี้
“...เสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญได้แก่การมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับปัจเจกชน ครอบครัว และชุมชน บริหารประเทศให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ให้ความสำคัญแก่การพัฒนาระบบราชการและข้าราชการ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น พัฒนากลไกป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างมีส่วนร่วม ส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากร ควบคู่ไปกับการปลูกจิตสำนึก ค่านิยมประชาธิปไตยแก่ประชาชนทุกกลุ่ม...”
นี่คือเรื่องใหญ่ๆ และปัญหาใหญ่ๆ ที่นำมาฝากคณะผู้บริหารบ้านเมืองชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้ช่วยนำไปพิจารณาในการทำงานครั้งนี้
ถ้าทำได้แม้ไม่หมด ก็คงดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยและจะทำให้บ้านเมืองต้องเสียเวลาไปอีกอย่างน่าเสียดาย
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี