เรื่องที่จะพูดในวันนี้ ก็ขอฝากไปยังผู้ที่กำลังจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองในระยะต่อไปนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ว่าจะคิดจะทำอะไรต่อไปก็ขอให้คิดให้ทำโดยยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ว่าประชาชนในบ้านเมืองจะได้รับผลโดยรวมอย่างไรบ้าง
ขออย่าคิดเพียงว่าพวกตัวเองจะได้อะไร
เหมือนๆพวกที่ได้อำนาจรัฐไปใช้ในระยะห้าปีที่ผ่านมา ที่มีชุดความคิดของตนเอง วางรูปแบบพิมพ์เขียวในชื่อว่ายุทธศาสตร์ชาติ ให้ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี ทั้งๆ ที่สถานการณ์ต่างๆ ในโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่คงที่
ขอผู้บริหารบ้านเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอย่าคิดอย่างนี้ แต่ต้องคิดโดยยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ว่าประชาชนจะได้รับผลอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่
ก็เพราะเรื่องไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาต่างๆ นี่แหละ บ้านเมืองในระยะที่ผ่านมาใกล้ๆนี้ ปัญหาต่างๆ หลายอย่างขยายตัวมากขึ้นถึงวันนี้
จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การตั้งโจทย์ในการกำหนดนโยบายทำงานแบบเดิมๆ สลับสับเปลี่ยนกันมาหลายคณะผู้บริหาร จึงไม่ค่อยเห็นประสิทธิผล
ที่เห็นได้ชัดเจนก็เช่น
1. ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจนขยายตัวมากขึ้น
2. มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของความมั่งคั่งมีเพิ่มขึ้น แต่คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศยังอยู่ใต้เส้นความยากจน
3. คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน
4. คนไม่มีงานทำเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
เอาแค่ 4 อย่างนี้ก็พอในการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยไม่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไข สภาพจึงเป็นอย่างนี้
เฉพาะอย่างยิ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกันในบ้านเมืองอย่างมากในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ มีการแบ่งกลุ่มแบ่งพวก แบ่งสีเสื้อ ขัดแย้งกันอย่างหนักในความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งนำมาซึ่งอุปสรรคสำคัญในความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้
จะใช้นโยบายประชานิยมอย่างไรก็แก้ปัญหาหลักดังที่กล่าวมาไม่ได้ผล นอกจากประโยชน์ของผู้ใช้นโยบายเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่รัฐบาลทหารนำออกมาประโคมขายตั้งแต่แรกนั้น ก็ไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในทางที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะในปัญหาการทุจริตคดโกงและประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นและขยายตัวอย่างมาก ทั้งในวงราชการและธุรกิจเอกชนดูจะมีมากขึ้นเพิ่มเข้ามาอีก
มีองค์กรตรวจสอบความทุจริตประพฤติมิชอบของภาครัฐในการทำงานแก้ไขเรื่องดังกล่าวก็จริง แต่ก็มีการแทรกแซงจากคนมีอำนาจในบางยุคบางสมัยที่ส่งคนของตนเข้าไปทำงาน หรือกำกับดูแล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานอย่างตรงไปตรงมาไม่ค่อยจะได้ผล
ถ้ามีการบริหารบ้านเมืองโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องหาทางตั้งกฎกติกากันใหม่โดยเพิ่มให้ประชาชนมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องความทุจริตประพฤติมิชอบดังกล่าวนี้ด้วย ประสิทธิภาพในการทำงานตรวจสอบของหน่วยงานดังกล่าวก็คงดีขึ้นและไว้วางใจได้มากขึ้นในกระบวนการตรวจสอบเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ
สรุปรวมความแล้ว การบริหารจัดการบ้านเมืองของผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองที่ยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง คงจะได้พบหนทางในการทำงานในเรื่องใหญ่ๆต่อไปนี้ว่า
1. ทำอย่างไรผู้คนในระดับล่างจะยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
2. ทำอย่างไรจะดูแลประชาชนได้ทั่วถึงทุกกลุ่มอาชีพ
3. ทำอย่างไรให้ที่ดินกระจายสู่ประชาชนใน
วงกว้าง
4. ทำอย่างไรธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมจะแข็งแรง
5. ทำอย่างไรการศึกษาจะสร้างเยาวชนให้มีความคิดในทางสร้างสรรค์
6. ทำอย่างไรประชาชนจะมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความทุจริตประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นจากการทำงานของภาครัฐหรือภาคเอกชนได้ อย่างแท้จริงด้วย
ทั้ง 6 ประการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ถ้าผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง จะได้ยึดถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการจัดทำนโยบายบริหารประเทศ
เป็นโจทย์ใหญ่ที่ขอฝากไปยังผู้ที่กำลังจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองขณะนี้ได้รับไปศึกษาพิจารณาด้วย ถ้าตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนอย่างจริงๆ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี