สัปดาห์ที่แล้วผมพูดถึงบิ๊กตู่ว่า ท่านสนใจเรื่องการอ่านหนังสือและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงได้เสนอว่าควรจะเอาจริงกับเรื่องทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ
วันนี้เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป รัฐบาลใหม่อาจจะหยิบยกเอาข้อเขียนของผมบางอย่างนำไปพิจารณา
ใน 2 ประเทศใหญ่ ที่สนใจเรื่องทรัพยากรมนุษย์เขาได้เปลี่ยนชื่อกระทรวงไปเรียบร้อยแล้ว เช่น สิงคโปร์เรียกว่า Ministry of Manpower มองเรื่องคนเป็นยุทธศาสตร์ของชาติ ไม่ใช้คำว่าแรงงานอีกต่อไป ทุกๆ ปี รัฐบาลสิงคโปร์ จะจัดประชุม เรื่อง Human Capital Summit ให้เรื่องคนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเขาไม่ทำเรื่องคน ประเทศก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่รูปแบบของสิงคโปร์ก็ไม่ได้เหมาะสมกับไทยทุกอย่าง เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มองไม่เห็น และปัจจัยที่วัดจากคุณภาพ ซึ่งประเทศไทยน่าจะมีมากกว่าสิงคโปร์
- Mindset ปรับความคิด
- Compassionate การเห็นอกเห็นใจ
- Passion หลงใหลในงาน
- Loyalty ความจงรักภักดี
- Teamwork การทำงานเป็นทีม
- conflict Management ลดความขัดแย้ง
- Happiness at work ความสุขในการทำงานและมีความสมดุลระหว่างครอบครัวกับงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ประเทศไทยอาจจะมีมากกว่าสิงคโปร์ แต่ศักยภาพของคนยังไม่มี
ในเรื่องศักยภาพของคน ปัจจุบันอินเดียมีกระทรวงเกี่ยวกับคน ชื่อ กระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Ministryof human Resource Development) เขาเน้นตั้งแต่เกิดถึงเสียชีวิต
ที่ APEC : Asia-Pacific Economic Cooperation (Lead Shepherd of APEC Human Resources Development Working Group) มีคณะทำงานชื่อว่า HRD Working Group ซึ่งผมได้รับเลือกเป็นประธาน เขาเรียกว่า Lead Shepherd แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ซึ่งเชื่อมโยงกัน เป็นระบบทรัพยากรมนุษย์เชื่อมโยง
1.การศึกษา
2. capacity building คือพัฒนาคน เน้นที่คนทำงานแล้ว ซึ่งประเทศไทยไม่มีกระทรวงใดดูแล อย่างมากก็มีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ไม่พอ เพราะยุค 4.0 เน้นทักษะแบบ Digital มากขึ้น และยังต้องดูแลผู้สูงอายุที่มีความสามารถในการทำงาน
3. เรียกว่าปัญหาแรงงานและการดูแลแรงงานให้อยู่รอดในสภาวะวิกฤติ Labor protection
เช่น ประกันสังคม ค่าจ้างขั้นต่ำ
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณะทำงานของนายกฯให้รู้ว่า กระทรวงแรงงานของเราทำงานได้ไม่ครบและไม่สมบูรณ์ คนไทยอายุ 25-60 ปี ที่จบปริญญาตรี ไม่มีกระทรวงไหนดูแลในอนาคตทักษะของแรงงานก็จะถูกทดแทนด้วย AI หรือ Robot ซึ่งต้องปรับต่อ Disruption พูดได้ แต่ทำไม่ได้และต้องค่อยทำเป็น Step ขั้นตอน ต่อเนื่องและชนะเล็กๆ
สุดท้าย ผมขอแสดงความยินดีต่อ UNESSCO จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาที่เอากฎข้อหนึ่งของ 17 เป้าหมายของความยั่งยืนมาใช้ คือการศึกษาของผู้ย้ายถิ่น ให้มีสิทธิเท่ากับคนในประเทศซึ่งต้องใช้ความฉลาด โดยดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมและยั่งยืน มีจริยธรรมและมีภูมิคุ้มกัน
ปัญหาคือ การนำเสนอเป็นเรื่องดี แต่มองด้านสิทธิของลูกหลานแรงงานต่างด้าว เฉพาะในเรื่องการศึกษาด้านเดียว คือมีสิทธิมนุษยชน เรื่องการเข้าสู่ระบบการศึกษาซึ่งยุ่งยากและมีปัญหามาก แต่กระทรวงศึกษาไทยจัดการได้ผล ปัจจุบันมีลูกหลานแรงงานต่างด้าวเรียนในระบบการศึกษาไทยถึง 7 หมื่นกว่าคน
ผมให้ความเห็นไปว่า ดีแล้วที่จัดการศึกษาของผู้อพยพได้ดีกว่าหลายประเทศ เช่น ชาวซีเรียอพยพไปประเทศอื่นก็ไม่มีจะกิน ไม่ได้รับการศึกษาเลย
แต่เราต้องดูทรัพยากรที่มีจำกัดของเราและคุณภาพการศึกษาของไทย
-ต้องแบ่งทรัพยากรที่จำกัดของเรามาให้ผู้ย้ายถิ่น
-ต้องหาทาง Win Win ระหว่างคนไทยกับคนต่างด้าว
เด็กหลายคนจากพม่าเป็นตัวอย่างที่ดี เรียนรู้จากความเจ็บปวด เขาสนใจเรียนภาษาอังกฤษดีกว่าคนไทย การศึกษาที่บ้านเขายังแย่กว่าเรา แต่คนไทยอยู่ในสภาพรักความสบาย (comfort Zone) จึงเป็นประเด็นที่ควรศึกษาด้วย
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี