สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำข้อห่วงใยจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือชื่อเดิมคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มานำเสนอต่อท่านผู้อ่าน ซึ่งสืบเนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ทางทะเลมากกว่า 320,000 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลประมาณ 3,150 กิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก รวมถึงส่วนเหนือของช่องแคบมะละกา
ที่ผ่านมาพบการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเลทั้งในเชิงปริมาณและรูปแบบอย่างไร้ทิศทาง อีกทั้งยังมีการซ้อนทับกันของกิจกรรมในแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการดำเนินการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลในภาพรวมทั้งประเทศ” ทั้งที่การวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบริหารจัดการผลประโยชน์ทางทะเล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทั้งความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
โครงการ “การพัฒนาแผนที่เขตแดนทางทะเลระหว่างจังหวัดชายทะเลของประเทศไทย” ที่ สกสว.(หรือ สกว. เดิม) เป็นโครงการสำคัญในการบริหารจัดการทะเลไทย เพราะแม้จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562แต่ในทางปฏิบัติซึ่งยังมีกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทับซ้อนอยู่ การพัฒนาแผนที่เขตทางทะเลระหว่างจังหวัดชายทะเลจะมีแนวทางในการแบ่งเขตทางทะเลอย่างไร เพื่อให้แผนที่ดังกล่าวมีมาตรฐานและเที่ยงธรรม
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งร่วมทำงานกับโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาประเทศไทยมีเพียงแผนที่แสดงเขตจังหวัดทางบก แต่ไม่เคยมีแผนที่ที่แสดงเขตจังหวัดทางทะเล และแม้จะเคยมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.แบ่งเขตจังหวัดทางทะเลเมื่อปี พ.ศ.2502 แต่ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสภาพภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน” อีกทั้งพื้นที่ทางทะเลยังมีหลายมิติ เช่น ทิศทาง การวางตัวของชายฝั่ง ความโค้งเว้าของขอบฝั่ง ลักษณะของหาด ความลาดชันของพื้นที่ท้องทะเลและความลึกของน้ำ เป็นต้น
ดังนั้น การมีแผนที่เขตจังหวัดทางทะเล จะช่วยในเรื่องของการจัดการเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของจังหวัดชายฝั่งทะเลได้ โดยใช้หลักการมาตรฐานสากลในการกำหนดการแบ่งเขตจังหวัดภายในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของไทย “การมีแผนที่เขตจังหวัดทางทะเลจะทำให้รู้ว่าเขตทะเลของแต่ละจังหวัดใน 23 จังหวัดอยู่ตรงไหน เหมือนกับการมีโฉนดที่ดินซึ่งจะบอกว่าขอบเขตบ้านเราอยู่ตรงไหนบ้าง ทิศไหนติดกับใคร และระยะทางใกล้-ไกล” คล้ายการทำแผนที่จังหวัดบนบกที่มีการกำหนดขอบเขต อาณาเขต ทิศทาง แต่ในทะเลยังมีเรื่องของความลึกด้วย
ซึ่งจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นครบทั้ง 23 จังหวัดพบว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางร่างแผนที่การแบ่งเขตทางทะเลรายจังหวัดทั้ง 23 จังหวัดแต่ตัวแทนจากบางจังหวัด เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง ภูเก็ต พังงา และกระบี่ ได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งทางทีมวิจัยจะได้ประมวลข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวมาพิจารณาปรับปรุงอีกครั้ง ก่อนนำเข้าสู่เวทีรับฟังความเห็นของประชาชนในภาพรวมที่ส่วนกลางต่อไป
โดยเมื่อร่างดังกล่าวแล้วเสร็จตามกระบวนการก็จะนำเสนอให้แก่หน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ศูนย์อำนวยการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
พล.ร.อ.จุมพลกล่าวเสริมว่า ประโยชน์ของงานวิจัยแผนที่ทางทะเล นอกจากจะได้เห็นสภาพปัจจุบันของทะเลที่สภาพภูมิศาสตร์เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ทั้งจากการกัดเซาะหรือจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแล้ว ยังช่วยเรื่องความปลอดภัยในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ในทะเล จังหวัดสามารถใช้แผนที่เขตทางทะเลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการได้ ทำให้รู้ว่าใครต้องทำงานอย่างไรในการเข้าช่วเหลือ ตลอดจนการดูแลรักษาและอนุรักษ์ ผลประโยชน์ในการบริหารทรัพยากรทางทะเลของจังหวัดตนเอง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย
ทางทะเลด้วย
“แผนที่เขตจังหวัดทางทะเล ยังถือเป็นเครื่องมือกลางที่หน่วยงานทุกภาคส่วนจะต้องใช้ร่วมกันในการบริหารจัดการทะเลไทย การกำหนดให้มีการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลสำหรับประเทศไทย และการกำหนดแผนที่ขอบเขตจังหวัดทางทะเล จะต้องทำให้เกิดความสมดุลในทุกๆ มิติ และจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทะเลอย่างยั่งยืน” ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ การศึกษาวิจัย ต้องรวบรวมข้อมูลเขตทางทะเลและลักษณะภูมิประเทศบริเวณชายฝั่งทะเลของไทย ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการชายฝั่งทะเล อาทิ แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล พ.ศ.2558-2564 ที่ให้มีการกำหนดเขตปกครองทางทะเล จากนั้นนำมากำหนดแนวทางการแบ่งเขตทางทะเลระหว่างจังหวัดของไทยทั้งในระดับภาพรวมและระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแผนที่เขตทางทะเลต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ผู้ทรงคุณวุฒิ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งร่วมทำโครงการ “การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อในประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย พ.ศ.2559-2561” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกสว. เช่นกัน เสนอแนะว่า จะต้องมีการแสดงกิจกรรมการใช้ประโยชน์และทรัพยากรทางทะเลที่อยู่ในแผนที่แผ่นเดียวกัน (One Marine Map) และมีความเป็นปัจจุบัน (Existing Map) โดยให้จัดตั้งหน่วยงานหรือคณะกรรมการกลางในการประสานงานและเชื่อมโยงแผนที่และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงให้มีการจัดทำและประกาศเป็นแผนที่ขอบเขตทางทะเลของจังหวัด เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในแต่ละจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่คุ้มครองทางทะเลทั้ง 23 จังหวัด และหลายรูปแบบ เช่น พื้นที่รักษาพืชพันธุ์ พื้นที่กำหนดมาตรการในการทำประมง ฯลฯ แต่ความไม่ชัดเจนของข้อมูลและวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดความทับซ้อนและความสับสนระหว่างกิจกรรมการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์
ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” จากคนในพื้นที่ และแม้การกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้คงความสมบูรณ์มากขึ้น แต่ก็ต้องมาพร้อมกับการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี