วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำข้อห่วงใยจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือชื่อเดิมคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มานำเสนอต่อท่านผู้อ่าน ซึ่งสืบเนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ทางทะเลมากกว่า 320,000 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลประมาณ 3,150 กิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก รวมถึงส่วนเหนือของช่องแคบมะละกา
ที่ผ่านมาพบการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเลทั้งในเชิงปริมาณและรูปแบบอย่างไร้ทิศทาง อีกทั้งยังมีการซ้อนทับกันของกิจกรรมในแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการดำเนินการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลในภาพรวมทั้งประเทศ” ทั้งที่การวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบริหารจัดการผลประโยชน์ทางทะเล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทั้งความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
โครงการ “การพัฒนาแผนที่เขตแดนทางทะเลระหว่างจังหวัดชายทะเลของประเทศไทย” ที่ สกสว.(หรือ สกว. เดิม) เป็นโครงการสำคัญในการบริหารจัดการทะเลไทย เพราะแม้จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562แต่ในทางปฏิบัติซึ่งยังมีกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทับซ้อนอยู่ การพัฒนาแผนที่เขตทางทะเลระหว่างจังหวัดชายทะเลจะมีแนวทางในการแบ่งเขตทางทะเลอย่างไร เพื่อให้แผนที่ดังกล่าวมีมาตรฐานและเที่ยงธรรม
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งร่วมทำงานกับโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาประเทศไทยมีเพียงแผนที่แสดงเขตจังหวัดทางบก แต่ไม่เคยมีแผนที่ที่แสดงเขตจังหวัดทางทะเล และแม้จะเคยมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.แบ่งเขตจังหวัดทางทะเลเมื่อปี พ.ศ.2502 แต่ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสภาพภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน” อีกทั้งพื้นที่ทางทะเลยังมีหลายมิติ เช่น ทิศทาง การวางตัวของชายฝั่ง ความโค้งเว้าของขอบฝั่ง ลักษณะของหาด ความลาดชันของพื้นที่ท้องทะเลและความลึกของน้ำ เป็นต้น
ดังนั้น การมีแผนที่เขตจังหวัดทางทะเล จะช่วยในเรื่องของการจัดการเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของจังหวัดชายฝั่งทะเลได้ โดยใช้หลักการมาตรฐานสากลในการกำหนดการแบ่งเขตจังหวัดภายในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของไทย “การมีแผนที่เขตจังหวัดทางทะเลจะทำให้รู้ว่าเขตทะเลของแต่ละจังหวัดใน 23 จังหวัดอยู่ตรงไหน เหมือนกับการมีโฉนดที่ดินซึ่งจะบอกว่าขอบเขตบ้านเราอยู่ตรงไหนบ้าง ทิศไหนติดกับใคร และระยะทางใกล้-ไกล” คล้ายการทำแผนที่จังหวัดบนบกที่มีการกำหนดขอบเขต อาณาเขต ทิศทาง แต่ในทะเลยังมีเรื่องของความลึกด้วย
ซึ่งจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นครบทั้ง 23 จังหวัดพบว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางร่างแผนที่การแบ่งเขตทางทะเลรายจังหวัดทั้ง 23 จังหวัดแต่ตัวแทนจากบางจังหวัด เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง ภูเก็ต พังงา และกระบี่ ได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งทางทีมวิจัยจะได้ประมวลข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวมาพิจารณาปรับปรุงอีกครั้ง ก่อนนำเข้าสู่เวทีรับฟังความเห็นของประชาชนในภาพรวมที่ส่วนกลางต่อไป
โดยเมื่อร่างดังกล่าวแล้วเสร็จตามกระบวนการก็จะนำเสนอให้แก่หน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ศูนย์อำนวยการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
พล.ร.อ.จุมพลกล่าวเสริมว่า ประโยชน์ของงานวิจัยแผนที่ทางทะเล นอกจากจะได้เห็นสภาพปัจจุบันของทะเลที่สภาพภูมิศาสตร์เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ทั้งจากการกัดเซาะหรือจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแล้ว ยังช่วยเรื่องความปลอดภัยในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ในทะเล จังหวัดสามารถใช้แผนที่เขตทางทะเลมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการได้ ทำให้รู้ว่าใครต้องทำงานอย่างไรในการเข้าช่วเหลือ ตลอดจนการดูแลรักษาและอนุรักษ์ ผลประโยชน์ในการบริหารทรัพยากรทางทะเลของจังหวัดตนเอง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย
ทางทะเลด้วย
“แผนที่เขตจังหวัดทางทะเล ยังถือเป็นเครื่องมือกลางที่หน่วยงานทุกภาคส่วนจะต้องใช้ร่วมกันในการบริหารจัดการทะเลไทย การกำหนดให้มีการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลสำหรับประเทศไทย และการกำหนดแผนที่ขอบเขตจังหวัดทางทะเล จะต้องทำให้เกิดความสมดุลในทุกๆ มิติ และจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทะเลอย่างยั่งยืน” ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ การศึกษาวิจัย ต้องรวบรวมข้อมูลเขตทางทะเลและลักษณะภูมิประเทศบริเวณชายฝั่งทะเลของไทย ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการชายฝั่งทะเล อาทิ แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล พ.ศ.2558-2564 ที่ให้มีการกำหนดเขตปกครองทางทะเล จากนั้นนำมากำหนดแนวทางการแบ่งเขตทางทะเลระหว่างจังหวัดของไทยทั้งในระดับภาพรวมและระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแผนที่เขตทางทะเลต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ผู้ทรงคุณวุฒิ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งร่วมทำโครงการ “การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อในประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย พ.ศ.2559-2561” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกสว. เช่นกัน เสนอแนะว่า จะต้องมีการแสดงกิจกรรมการใช้ประโยชน์และทรัพยากรทางทะเลที่อยู่ในแผนที่แผ่นเดียวกัน (One Marine Map) และมีความเป็นปัจจุบัน (Existing Map) โดยให้จัดตั้งหน่วยงานหรือคณะกรรมการกลางในการประสานงานและเชื่อมโยงแผนที่และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงให้มีการจัดทำและประกาศเป็นแผนที่ขอบเขตทางทะเลของจังหวัด เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในแต่ละจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่คุ้มครองทางทะเลทั้ง 23 จังหวัด และหลายรูปแบบ เช่น พื้นที่รักษาพืชพันธุ์ พื้นที่กำหนดมาตรการในการทำประมง ฯลฯ แต่ความไม่ชัดเจนของข้อมูลและวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดความทับซ้อนและความสับสนระหว่างกิจกรรมการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์
ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” จากคนในพื้นที่ และแม้การกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้คงความสมบูรณ์มากขึ้น แต่ก็ต้องมาพร้อมกับการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน!!!

เช็กเส้นทางหนีรถติด! บายพาสโคราชหนาแน่น หลังคนเริ่มทยอยกลับปีใหม่
ดูได้ที่นี่ รายชื่อพร้อมเบอร์ ผู้สมัคร พปชร สส กทม ครบทุกเขต
ถึงมือหมอแล้ว! กำลังพลขาขาดรายที่10 เหยียบPMN-2 พื้นที่เขาสัตตะโสม
บุน รานี ภริยาฮุน เซน ปาดน้ำตาไม่หยุด เยี่ยมทหารเขมรบาดเจ็บ มอบเงิน 40 ล้านเรียล
ทีม กทม. ภูมิใจไทย เข้าสักการะ ศาลหลักเมือง กรุงเทพฯ ก่อนลุยหาเสียง สู้ศึกเลือกตั้งปี 69

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี