3 วัน 2 คืนของการประชุมรัฐสภา เพื่อการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีประยุทธ์
คนจำนวนไม่น้อย มึนงง สับสน ว่าเขาประชุมกัน แล้วทำไมต้องมีเหตุการณ์ความวุ่นวาย ประท้วง ด่าว่า เสียดสี กระแทกกระทั้นกันอย่างนี้ ทั้งๆที่ รัฐมนตรี สส. และ สว. ต่างเป็นผู้ใหญ่มีประสบการณ์ในการสื่อสาร แต่ทำไมจึงเยิ่นเย้อรุนแรง
1. นายกรัฐมนตรี ถูกทักท้วงว่าแถลงนโยบายโดยไม่อ่านคำแถลงนโยบายที่พิมพ์เป็นเล่มหนา 35 หน้า ซึ่งแจกให้สมาชิกรัฐสภาได้อ่านมาก่อนแล้ว 2-3 วัน นายกรัฐมนตรีจะพูดสรุป จะพูดต่อเติมหรือจะอ่านตกหล่น ก็จะมีสมาชิกคอยท้วงติง เพราะคอยอ่านเอกสารคำแถลงนโยบายทีละบรรทัดตามการอ่านของนายกฯ
สมาชิกหลายคนอ้างข้อบังคับการประชุม ว่านายกฯต้องอ่าน แต่บางคนก็คงมีเจตนารับน้องใหม่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งจะทำหน้าที่นี้ในสภาเป็นครั้งแรก
ความจริง ข้อบังคับนี้คงเป็นข้อบังคับที่ตกทอดมาจากรุ่นเก่า ที่ผู้เข้าประชุมในอดีตกาลยังไม่สามารถอ่านและเขียนได้เองแคล่วคล่องเหมือนในปัจจุบัน จึงเกิดวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญการพูดและการฟัง แต่ปัจจุบันเรามีระบบคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพ ทั้งพิมพ์ตามเสียงที่พูด หรืออ่านออกเสียงตามที่พิมพ์
สมาชิกรัฐสภาก็รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ทุกคน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งข้อบังคับให้จำต้องอ่านเหมือนสมัยโบราณ
ความจริง หากคณะรัฐมนตรีจะได้ยืนยันว่า นโยบายที่แถลงเป็นไปตามเอกสาร และนายกฯจะอภิปรายเพียงเน้นบางเรื่องโดยสรุป หรือพูดอธิบายต่อเติม เจ้าหน้าที่รัฐสภาก็บันทึกไว้เป็นหลักฐาน อย่างนี้ก็จะประหยัดทั้งเวลาของสมาชิกรัฐสภา 750 คนอีกด้วย
แต่นี่ใช้เวลาอ่านเกือบ 2 ชั่วโมง และยังต้องมีเจ้าหน้าที่จดบันทึกถ้อยคำที่อ่านที่อธิบายอีกครั้ง การประชุมจึงเน้นแต่พิธีกรรมสร้างความเบื่อหน่ายแก่ประชาชน
2. ในการประชุมรัฐสภา มีการจัดลำดับการอภิปรายก่อน-หลัง
สมาชิกที่รู้ว่าตนจะอธิบายคนหลังๆ เช่น ในลำดับที่ 30 ก็สามารถพักผ่อน กินอาหาร กินกาแฟ เพราะอีกนานมากจึงจะถึงคิวของตน
คนที่ได้อภิปรายเป็นคนแรกๆ เมื่ออภิปรายเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจะฟังไปทำไม โอกาสจะได้อภิปรายแลกเปลี่ยนคงไม่มี
ก็ไปพักผ่อนหรือไปทำธุระ
เราจึงเห็นที่นั่งของสมาชิกในห้องประชุมจะเต็มในตอนต้นของการประชุม และค่อยๆ แหว่งหายไป
ก็เลยมีความจำเป็นต้องนำสมาชิกมานั่งล้อมรอบผู้อภิปราย ในจุดที่มุมกล้องจะถ่ายเห็น และผู้กำกับภาพของทีวีรัฐสภาก็อาศัยมุมกล้องช่วย เมื่อสมาชิกอยู่น้อยก็จะไม่เคลื่อนกล้องแพนภาพให้เห็นทั่วห้อง แต่ถ่ายเจาะเฉพาะที่คนนั่งและตัดเปลี่ยนกล้องที่ถ่ายคนนั่งเป็นกระจุกหนาแน่นสลับกับกล้องที่ถ่ายคนพูด เพื่อตกแต่งไม่ให้ประชาชนเห็นความจริง
3. ผู้อภิปรายจำนวนมาก จะเน้นอธิบายหรือพูดให้ประชาชนคนดูทีวีฟัง มากกว่าจะพูดให้ที่ประชุมฟัง
จึงพบเห็นสำนวนการพูดที่หลุดรอดจำนวนมากว่า “ที่ต้องพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ” หรือ “ถ้าไม่พูดอย่างนี้ประชาชนก็จะเข้าใจผิด”
การประชุมรัฐสภาจึงเป็นเวทีการแสดงที่ต้องเรียกความสนใจ สร้างสำนวนคมคาย มีวัตถุสิ่งแสดงประกอบ เสียงดัง กระแทกกระทั้น เสียดสี โต้เถียง ทะเลาะ สร้างสีสัน ดึงความสนใจประชาชนคนดูทางบ้าน
สื่อมวลชนเองก็ชอบจะนำช่วงที่มีการโต้เถียง ดุด่า ถือเป็นของแปลก เป็นไฮไลท์ออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะคิดว่าคนดูชอบ ที่เหมือนดูละครตบตี
สมาชิก สส. / สว. และ รมต. บางคนก็ยิ่งสร้างจุดเด่นเพื่อดึงความสนใจของสื่อมวลชน
ลองจินตนาการหากไม่มีการถ่ายทอดสดทางทีวี วิทยุ และไม่มีนักข่าว บรรยากาศการประชุมและพฤติกรรมของสมาชิกจะเปลี่ยนไปหรือไม่
อาจจะมีการพูดจาภาษาที่ดี แลกเปลี่ยนให้ความเห็นมากขึ้นหรือไม่
4. เพื่อขัดจังหวะการพูดของฝ่ายตรงข้าม การประท้วงด้วยการยืนขึ้นและยกมือขึ้นเหนือศีรษะจึงเกิดขึ้น เมื่อมีการพูดพาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้การประท้วงจำนวนมากคงมีเจตนาเพื่อขัดจังหวะการอภิปรายของฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้ลื่นไหล หรือสามารถโน้มน้าวใจผู้ฟัง
การประท้วงประธานว่าไม่ควบคุมให้การอภิปรายอยู่ในกรอบ ไม่ส่อเสียด เสียดสีหรือซ้ำซาก โดยอ้างข้อบังคับข้อต่างๆ จริงบ้าง-มั่วบ้าง หลายสมัยผู้ทำหน้าที่ประธานก็แอบรู้กันกับผู้ประท้วง ให้ประท้วงประธานในบางจังหวะ เพื่อจะได้ยืดเวลาหรือควบคุมเกมในสภา
ประชาชนจึงรู้สึกเบื่อหน่าย เอือมระอากับนักประท้วงทั้งสองฝ่าย แต่ในระบบอุปถัมภ์ที่ลูกน้อง ไพร่พล ย่อมต้องปกป้องนาย และจะได้รับรางวัลตอบแทนบุญคุณจากนาย จึงไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนเท่ากับประโยชน์ของนาย
5. เมื่อสังคมไทยในปัจจุบันมีความแตกแยกในอุดมการณ์และผลประโยชน์ การมีอคติต่อผู้อภิปรายฝั่งตรงข้าม จึงปรากฏในคำพูดและพฤติกรรมมากมาย
การจ้องจับผิด การเตรียมองครักษ์ไว้พิทักษ์ล่วงหน้า และการชิงไหวชิงพริบ จึงเกิดขึ้น
หลายครั้ง นายกฯ ประยุทธ์ต้องการจะพูด ไม่รอที่จะยกมือขออภิปราย แต่ลุกขึ้นกดไมโครโฟน พูดสวน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงมีพฤติกรรม ที่ไม่งดงามไม่เหมาะสมอยู่หลายครั้ง
การที่ข้อบังคับกำหนดให้ผู้อภิปรายต้องพูดกับประธาน ก็เพื่อไม่ให้โต้เถียงเป็นรายบุคคล หรือโต้ตอบเป็นคู่ๆ และไม่ให้มองหน้าชี้หน้าบุคคลที่อธิบายโต้ตอบ แต่หลายคนก็เก็บอาการ ควบคุมความรู้สึกที่มีอคติและความเกลียดชังไม่ได้
จึงน่าจะมีการประเมินตนเอง ว่าสามารถควบคุมสติปัญญาและอารมณ์ของตนได้เหมาะสมกับตำแหน่งอันมีเกียรตินี้หรือไม่อย่างไร
6.ผู้ทำหน้าที่ประธานมีส่วนสำคัญ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์พื้นฐานของแต่ละคน
โดยเฉพาะที่มาของผู้ทำหน้าที่ประธาน จะส่งผลให้มีพฤติกรรมแตกต่าง ผู้ทำหน้าที่ประธานจะถูกมองด้วยอคติของผู้ร่วมประชุม การควบคุมการประชุมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
การอะลุ้มอล่วยก็ทำให้สมาชิกที่ทำผิดได้ใจ แต่ถ้าแข็งเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาตามมา
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของการประชุมครั้งนี้ ก็มีผู้อภิปรายที่ดี ทำให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์โดยเฉพาะ สส. รุ่นใหม่หลายคน ที่มีหลักวิชาการและวิเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเห็นลอยๆ หรือเล่นสำบัดสำนวน
รัฐมนตรีบางคนก็ตอบได้ชัดเจน กระชับ แต่ก็มีรัฐมนตรีบางคนพูดตอบโต้ด้วยอารมณ์ ชักจูงด้วยวาทะและเทคนิคทางการตลาด
ขอแนะนำให้ผู้อภิปรายในรัฐสภาเลือกผู้อภิปรายที่สังคมชื่นชอบไว้เป็นตัวอย่าง ถอดบทเรียนของท่านนั้นๆ ซักซ้อม
และเตรียมประเด็น ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และแหลมคม
ดูการอภิปรายครั้งนี้แล้ว อดนึกถึงผู้อภิปรายที่โดดเด่นในอดีต ที่ผู้คนต้องรอฟัง เพราะได้ความรู้ความคิดอยู่หลายคน
เช่น ผู้ที่เป็นอดีตนายกฯก็มี ชวน หลีกภัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัคร สุนทรเวช คึกฤทธิ์ ปราโมช
แต่เมื่อเห็นการอภิปรายและท่าทีของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อดนึกถึงอดีตนายกฯ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ในปี 2535 ไม่ได้
ส่วนผู้อภิปรายระดับรัฐมนตรีที่ผู้คนนึกถึงก็มี ธรรมนูญ เทียนเงิน อุทัย พิมพ์ใจชน สุรินทร์ มาศดิตถ์ และบุญเท่ง ทองสวัสดิ์
แปลกใจไหมครับ เรานึกถึงนักการเมืองหญิงที่โดดเด่นยังไม่ได้ ครั้งนี้มี สส. หญิงรุ่นใหม่ที่โดดเด่นทั้งในทางที่ดีและอาจเป็นดาวร้าย แต่ต้องเฝ้าพิสูจน์ดูตัวเองต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี