วันนี้ขอพูดให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงานให้บ้านเมือง ไม่ว่าฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติได้รับฟังว่า จะคิดจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงประชาชนบ้างว่าขณะนี้เป็นอย่างไรในชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และประชาชนจะได้อะไรที่ดีขึ้นบ้างในการดำรงชีวิต
ขออย่าเพียงคิดว่าพวกตนจะได้อะไร
มีกิน มีใช้ จากเงินภาษีของชาวบ้าน
ประชาชนเลือกพวกตนเข้ามาเพื่อทำงานและช่วยแก้ไขปัญหาให้พวกเขาตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ โดยยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหา
ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติต้องตระหนักตลอดเวลาว่า ก็เพราะเรื่องของการไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเหมือนในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจากการรัฐประหารนั้น ผู้คนในประเทศยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่จากการทำมาหากินเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ๆที่เห็นชัดเจน คือ
1. ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากขึ้น
2. มหาเศรษฐีหน้าเดิมๆ ร่ำรวยมากขึ้น แต่คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศยังอยู่ใต้เส้นความยากจน
3. คนไทยสามในสี่ของประเทศไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน
4. คนไม่มีงานทำต้องตกงานเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
เอาแค่ 4 อย่างนี้ก็พอที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานของผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร หรือผู้มีหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติในระยะที่ผ่านมา ทำงานกันอย่างไร
โดยเฉพาะในเรื่องความทุจริตคดโกงและประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจหน้าที่ในหลายๆ แห่ง ขยายตัวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีองค์กรที่มีหน้าที่ทำงานตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานก็ตาม ยังไม่วายถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ
ถ้ามีการบริหารและทำงานกันอย่างยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงานแก้ปัญหา โดยเฉพาะการตั้งกฎกติกาให้ปฏิบัติได้จริงในเรื่องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความโปร่งใสอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว บ้านเมืองและประชาชนคงดีขึ้นกว่านี้
อย่าเอาแต่ “อิ่มจังตังค์อยู่ครบ”
ความเบื่อหน่ายของประชาชนในบ้านเมืองกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ กับพวก “อิ่มจังตังค์อยู่ครบ”
ใช้วิธีการโปรยทานในการแก้ไขปัญหาปากท้องของผู้คนที่ยากจน เพื่อให้ชาวบ้านรักด้วยเงินภาษีของชาวบ้านนั่นเอง
ถ้าไม่เฝ้าระวังให้ดีในเรื่องต่างๆดังที่กล่าวมาโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าไม่จัดการแก้ไขอย่างจริงจังแล้ว ปัญหาต่างๆจะยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่กำลังเข้ามารับหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองขณะนี้ สมควรเข้าใจให้มากขึ้นว่าค่านิยมที่ดีงามของบ้านเมืองที่เคยมีมาแต่ก่อนนั้น ขณะนี้กำลังถูกทำให้เสียหายลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของเราได้ถูกบิดเบือน อันเป็นผลมาจากการไหลบ่าเข้ามาในยุคแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้สังคมไทย หันไปสู่วัตถุนิยม และให้ความสำคัญแก่ศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีงามที่เคยมีน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน และการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความมีไมตรีน้ำใจระหว่างกันน้อยลง มีการแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ขาดความสามัคคี ไม่เคารพในสิทธิ์ของผู้อื่น ขาดการยึดถือประโยชน์ส่วนรวม
การเข้าถึงบริการของรัฐเกิดความเหลื่อมล้ำ
ประชาชนในเมืองใหญ่มีโอกาสมากกว่าในชนบท
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ฝากให้คณะผู้บริหารบ้านเมืองที่กำลังจะเข้ามารับผิดชอบขณะนี้ ได้รับรู้รับทราบไว้ด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ก็ขอให้นึกถึงเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9ซึ่งทรงสอนไว้
โดยเฉพาะในเรื่องต่อไปนี้
“...เสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญได้แก่การมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับปัจเจกชน ครอบครัว และชุมชน บริหารประเทศให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ให้ความสำคัญแก่การพัฒนาระบบราชการและข้าราชการ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น พัฒนากลไกป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างมีส่วนร่วม ส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากร ควบคู่ไปกับการปลูกจิตสำนึก ค่านิยมประชาธิปไตยแก่ประชาชนทุกกลุ่ม...”
นี่คือเรื่องใหญ่ๆ และปัญหาใหญ่ๆ ที่นำมาฝากคณะผู้บริหารบ้านเมืองชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้ช่วยนำไปพิจารณาในการทำงานครั้งนี้
ถ้าทำได้แม้ไม่หมด ก็คงดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย และจะทำให้บ้านเมืองต้องเสียเวลาไปอีกอย่างน่าเสียดาย
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี