พรรคประชาธิปัตย์มีมติเสนออดีตนายกฯอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามบ่ายเบี่ยง แต่กำหนดให้มีกรรมาธิการ ๔๙ คน ประกอบด้วย ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ๑๘ คน ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ๑๙ คน และตัวแทนรัฐบาล ๑๒ คน
คำถามจึงมีอยู่ว่า
๑. รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มีจุดบกพร่องที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงหรือไม่?
รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๒๗๙ มาตรา มีประเด็นเกี่ยวข้องหลายพันประเด็น ย่อมมีผู้พอใจ เคลือบแคลงสงสัย อยากปรับเปลี่ยนให้ทันกับบริบทของโลกของสังคมอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็มีประเด็น เรื่อง
(๑) วิธีการเลือกตั้งและการคำนวณจำนวน สส. ในระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่รัฐธรรมนูญ’๖๐ ไปลอกเลียนแบบของประเทศเยอรมนี แต่นำมาไม่ครบและดัดแปลงวิธีการคำนวณการได้มาซึ่งจำนวน สส. ในแต่ละพรรคที่มีการปัดเศษ เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม จำนวน สส.ที่พึงมีตามรัฐธรรมนูญของแต่ละพรรคจึงเปลี่ยนไป กระทบ สส. บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคที่อาจจะเพิ่มหรือลดจำนวนได้ ที่ผ่านมาจึงได้พบ สส. ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคบางคน ได้เป็น สส. เพียง ๑ เดือน และเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม สส. คนดังกล่าวก็ต้องจากไปทั้งๆที่ไม่ได้กระทำอะไรผิด
(๒) หากรัฐสภาจะประกอบด้วย ๒ สภา วุฒิสภาควรจะมีที่มาอย่างไรจึงสอดคล้องกับอำนาจของวุฒิสภา เพราะหากให้วุฒิสภามีอำนาจมาก วิธีการได้มาของวุฒิสภาก็ต้องยึดโยงกับประชาชน แต่หากวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งก็ควรจะมีอำนาจน้อย เพียงกลั่นกรองกฎหมายและท้วงติงการทำงานของรัฐบาล แต่ปัจจุบันวุฒิสภามีอำนาจมากและมีที่มาแบบค่อนข้างแปลกประหลาด คือ ให้มีการเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร
(๓) ความเป็นอิสระขององค์กรตามรัฐธรรมนูญมีจริงเพียงไร ความสัมพันธ์ระยะห่างระยะชิดกับฝ่ายรัฐบาลและนิติบัญญัติเป็นอย่างไร การได้มาซึ่งกรรมการขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญยังมีปัญหา
(๔) การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปที่บรรจุในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีความถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
(๕) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรอิสระ ควรจะมีเพิ่มเติมหรือไม่? อย่างไร?
๒. กรรมาธิการวิสามัญที่จะตั้งขึ้นมีขอบเขตอำนาจหน้าที่แค่ไหน? อย่างไร?
กมธ.ที่จะตั้งขึ้นจะมีอำนาจเพียงศึกษาว่า ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญควรแก้ด้วยวิธีใด เช่น ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นยกร่างใหม่ เช่นเดียวกับที่มาของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ หรือแก้ไขเฉพาะมาตรา ซึ่งอาจต้องแก้ไขมาตราที่ว่าด้วยวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สามารถแก้ไขให้ง่ายขึ้น เพราะตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ได้วางค่ายกลไว้ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยากมากๆ เพราะไม่เพียงแต่จะต้องได้คะแนนเสียงข้างมากของสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน แต่ยังจะต้องได้ความเห็นชอบจากวุฒิสภาและพรรคฝ่ายค้านในสัดส่วนที่สำคัญอีกด้วย หากวุฒิสภาไม่เห็นด้วย การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่จะต้องแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อน
๓. ประธานกรรมาธิการควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร? อดีตนายกฯอภิสิทธิ์มีความเหมาะสมหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เคยเป็น สส. มามากกว่า ๒๐ ปี มีประสบการณ์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ เป็นที่ยอมรับของอานารยประเทศในด้านความรู้ความสามารถ ยิ่งกว่านั้นยังมีพื้นฐานการศึกษาและความสนใจอยู่ในแวดวงของปรัชญาการเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมาย
ที่สำคัญ ชื่นชอบระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย และเชื่อมั่นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการทุนนิยมผูกขาด และไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ยิ่งกว่านั้น อดีตนายกฯอภิสิทธิ์เป็นผู้ที่มองการณ์ไกล เห็นทิศทางและบริบทของประเทศไทยที่ควรจะต้องดำเนินต่อไปในบริบทของโลก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งเทคโนโลยีและอื่นๆ
ถ้าจะกล่าวในหลักการ คุณอภิสิทธิ์มีคุณสมบัติมากเกินตำแหน่งประธานกรรมาธิการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ
๔. สภาพการเมืองที่แตกแยก แย่งชิงอำนาจ ในที่สุดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่?
ทันทีที่มีข่าวว่า มีผู้เสนออดีตนายกฯอภิสิทธิ์เป็นประธานกมธ.ฯ ก็มีคนในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ประธานกมธ.ชุดนี้จะต้องดำรงตำแหน่งเป็น สส. ในขณะนี้เท่านั้น จะต้องเป็นคนของพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น และยังมีเสียงโจมตีว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่เหมาะสม เพราะเป็นผู้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ และไม่เห็นชอบที่จะให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดเป็นนายกฯ อีกครั้ง
เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมสะท้อน
(๑) คนของพรรคพลังประชารัฐยังมองว่า รัฐธรรมนูญ ๖๐ ควรจะเป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้ออำนวยให้พปชร.จัดตั้งรัฐบาล และพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ เหมือนดังที่ สส. บางคนได้เคยพูดก่อนหน้านี้
(๒) มองว่ารัฐธรรมนูญ คือ เครื่องมือในการได้มาซึ่งอำนาจและการปกครองประเทศ สามารถกีดกันคู่ขัดแย้งทางการเมืองอย่างได้ผล
(๓) พปชร.จำใจที่จะต้องให้มีกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเมื่อต้องการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยกำหนดเป็นนโยบายและมีสัญญาประชาคมกับประชาชนไว้ว่า จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในนโยบายของรัฐบาลก็ได้แถลงต่อรัฐสภาว่า จะต้องมีการศึกษาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขที่เชื่องช้าเนิ่นนาน น่าจะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลปัจจุบัน เพราะท่าทีของวิปรัฐบาลก็ได้แสดงออกมาว่า คงไม่ได้บรรจุวาระการตั้งกรรมาธิการชุดนี้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่จะต้องพิจารณาในสภา
(๔) การที่คุณอภิสิทธิ์เคยประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ในการทำประชามติอย่างเปิดเผย และได้แสดงเหตุผลถึงประเด็นของรัฐธรรมนูญที่ควรมีการแก้ไข ยิ่งเหมาะสมที่จะเป็นประธานกรรมาธิการชุดนี้เพราะได้เห็นจุดอ่อนของรธน. ไม่มีเจตนาแอบแฝงซ้อนเร้นว่าตนคิดอย่างไร และที่สำคัญคงจะทำตามความต้องการของผู้มีอำนาจแอบแฝง
การประกาศไม่เห็นชอบ ที่จะให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดเป็นนายกฯอีกครั้ง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความตรงไปตรงมา โปร่งใส ไม่นิยมการสืบทอดอำนาจทั้งด้วยปืนหรือด้วยเงิน
โอกาสของประเทศชาติ
รัฐธรรมนูญเป็นกรอบกติกาที่กำหนดทิศทางของประเทศ กำหนดความสัมพันธ์ขององค์กรที่สำคัญ
หากพรรคร่วมรัฐบาลจะคิดเพียงประโยชน์เฉพาะหน้าในทางการเมือง คิดเพียงการเอาชนะในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเสียใจที่เราเห็นรัฐธรรมนูญเป็นเพียงเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ คงอำนาจ และรักษาอำนาจ แต่มิได้พิจารณาถึงประโยชน์ของคน ๖๕ ล้านคน ที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนไปในสังคมโลก ที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ปมปัญหาจึงอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะแสดงความกล้าหาญ รักษาจุดยืนที่ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมกับประชาชน ในเรื่องการเป็นผู้นำการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
หากจะดูแบบอย่างของพรรคภูมิใจไทยที่หัวหน้าพรรคออกมาประกาศว่า หากการยกเลิกการใช้สารเคมี ๓ ชนิด ไม่บรรลุผล รัฐมนตรีของพรรคก็พร้อมที่จะขอลาออก พรรคประชาธิปัตย์อาจให้ความสำคัญกับมารยาทในการร่วมรัฐบาล จนไม่กล้าแสดงจุดยืนเหมือนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็เป็นได้
ทั้งนี้ จะต้องเข้าใจว่าเมื่อครั้งเสนออดีตนายกฯชวนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐเขาจำใจที่ต้องสนับสนุน เพราะจำนวนสส.ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีจำนวนใกล้เคียงกัน ถ้าไม่โหวตเลือกอดีตนายกฯชวน คะแนนเสียงฝ่ายรัฐบาลจะแตก แล้วตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องตกกับคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แห่งพรรคเพื่อไทย
ในครั้งนี้ สัดส่วนกรรมาธิการของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเปลี่ยนไป เพราะมีสัดส่วนของตัวแทนรัฐบาลถึง ๑๒ คน ร่วมกับสัดส่วนพรรคร่วมรัฐบาล ๑๘ คนรวมเป็นกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาล ๓๐ คน ย่อมสามารถกำหนดทิศทางของกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ได้ เพราะหากพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มี ๑๙ คน จะเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่มี ๔ เสียง ก็จะมีคะแนนเสียงรวมกันเพียง ๒๓ เสียงเท่านั้น เทียบกับฝ่ายรัฐบาลที่มี ๒๖ เสียง
หากสังคมไทยยังแตกแยก คิดบริหารประเทศเพื่อประโยชน์และอำนาจของตนและพรรค(พวก) โอกาสที่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ คงเป็นเรื่องยาก
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี