ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2536 และ 6 ตุลาคม 2519 รวมถึงก่อนเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 บ้านเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร ผู้คนอึดอัดคับข้องใจเพราะเป็นการรวบอำนาจรวมศูนย์โดยปืนสามานย์มีการฉ้อฉลเอื้อประโยชน์ และให้สิทธิพิเศษกับคนจำนวนหนึ่ง
ก่อนเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อปี 2548 และการชุมนุมใหญ่ของ กปปส. เมื่อปี 2556 บ้านเมืองก็ถูกปกครองโดยรัฐบาลทุนสามานย์ ที่ใช้ทุนผูกขาดเข้ามามีอิทธิพลตั้งพรรคการเมืองซื้อพรรคเล็ก รวบรวมพรรคขนาดกลาง ครอบงำวุฒิสภา แทรกแซงองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเผด็จการรัฐสภาแล้วให้สิทธิพิเศษเอื้อประโยชน์ “ทุจริตโดยนโยบาย” ให้กับตนเองและพรรคพวก
ปี 2557 เผด็จการณ์โดยทุนสามานย์ ก็ถูกทหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ไขความขัดแย้งเพื่อความสงบสุข ผู้คนที่นิยมเสรีประชาธิปไตยก็ต้องอดทน อยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจปืนมานานถึง 5 ปี
เมื่อปรากฏการต่อมา ว่ามีการสืบทอดอำนาจเขียนกติกาสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญที่เอื้อแก่การสืบอำนาจของทหาร แล้วยังมีวุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาอีก 250 คน เพื่อเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาล
การเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 จึงปรากฏภาพชัดเจนว่าเป็นแต่เพียงพิธีกรรมของระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ดูเป็นประชาธิปไตยภายใต้อิทธิพลของผู้สืบทอดอำนาจ
ผู้คนที่ไม่นิยมเผด็จการโดยปืนและรังเกียจเผด็จการโดยทุน ดูจะไม่มีที่ยืนในสังคมไทย
ประชาชนจำนวนหนึ่งจำต้องเลือกสนับสนุนทุนสามานย์หรือไม่ก็สนับสนุนปืนสามานย์ แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่ไม่ไว้ใจ ไม่ศรัทธาเผด็จการทั้ง 2 ประเภทจึงต่อสู้เรียกร้องอยากเห็นบ้านเมืองเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย
คนกลุ่มนี้เมื่อบ้านเมืองถูกยึดอำนาจโดยปืนก็ต่อต้าน และเมื่อบ้านเมืองถูกยึดอำนาจโดยทุนสามานย์เมื่อรู้ทัน
ก็ออกมาต่อต้าน
รัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ น่าจะเป็นทางออก
แม้รัฐสภาจะประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา วุฒิสภาใน 5 ปีแรก ก็มาจากการแต่งตั้งของอำนาจเก่า จึงคาดหวังที่จะให้ทำหน้าที่ในอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยได้ยาก
สภาผู้แทนราษฎรดูจะเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองออกจากระบอบเผด็จการทั้งทุนและปืน การมี สส. ของคนรุ่นใหม่และการมีประธานรัฐสภาที่มีอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยน่าจะช่วยสร้างสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นที่ยอมรับ สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกับอำนาจอื่น ได้ สส. รุ่นใหม่และประธานรัฐสภา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาสภาผู้แทนฯ และฝ่ายนิติบัญญัติ
แม้พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคจะยังใช้วิธีเดิมคือดูดและดึงกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มอุปถัมภ์ในพื้นที่ให้เข้ามาร่วมงานเป็นฐานของการสืบทอดอำนาจ โดยได้รับผลประโยชน์ (ได้รับแจกกล้วย)
แต่การมี สส. รุ่นใหม่ที่มีความรู้ มีความคิด ช่วยสร้างประกายความหวังให้สภาผู้แทนราษฎรสส.รุ่นเก่า ที่นิยมอภิปรายสร้างวาทกรรม วาทศิลป์ ขาดเนื้อหาข้อมูลสาระ จะต้องปรับตัว มิเช่นนั้นก็จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
ไม่ไว้ใจอนาคตใหม่ แต่ก็ชื่นชมผลงาน
11 เดือนของการทำงานในรัฐสภา นับแต่การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 สส. ของพรรคอนาคตใหม่ ทำงานในรัฐสภาได้ดีกว่า สส. จำนวนมากที่มีอยู่เดิมในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดประกายความหวังขึ้นบ้าง ท่ามกลางความระแวงสงสัย ที่ไม่ไว้วางใจพรรคอนาคตใหม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กับระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์มากน้อยแค่ไหน
ท่ามกลางความไม่สบายใจที่แกนนำของอนาคตใหม่ ก้าวร้าว พูดตรงอย่างไม่เกรงอำนาจเก่า ไม่กลัวอำนาจจากปืน ผู้คนจึงห่วงใยในความคิดที่ร้อนแรงและความต้องการที่จะปรับรื้อโครงสร้างและผลประโยชน์ของอำนาจเก่า โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรคอนาคตใหม่มีผู้สนับสนุนอย่างมากมายขนาดมากกว่า 6 ล้านเสียงได้ สส. ในการเลือกตั้งครั้งแรกถึง 80 คน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คุกคามอำนาจเก่า
การทำงานในสภาฯ ของคนรุ่นใหม่ที่เป็น สส. สมัยแรกน่าจะเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนไฟแรง ว่าบ้านเมืองมีกฎเกณฑ์ เงื่อนไขที่ปรับเปลี่ยนได้แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ความก้าวร้าว รุนแรง จะอ่อนโยนลงตามความเป็นจริงของสังคมมากขึ้น
รัฐสภาก็จะเป็นแหล่งประนีประนอมของอำนาจและผลประโยชน์ไม่มีใครได้อะไรทั้งหมด หรือเสียอะไรทั้งหมด
คนรุ่นใหม่ อนาคตใหม่กับบทเรียน
แม้อนาคตใหม่ จะเรียกร้องให้ยุติการใช้ “นิติสงคราม” แต่ก็คงไม่ช่วยอะไรได้มากนัก เพราะอำนาจเก่าเรียนรู้ที่จะไม่ใช้อำนาจโดยตรงหรือด้วยการบังคับขับไส แต่ใช้กฎหมายและนักกฎหมายที่ตนพอใจให้เป็นเครื่องมือแล้วก็รณรงค์ให้ผู้คนทำตามกฎหมายที่ตนสร้างขึ้น
นักกฎหมายผู้มีฝีมือจำนวนหนึ่งก็ยินดีรับใช้เข้าร่วมกับอำนาจเก่า วางหมากคูและกับดักทางกฎหมายไว้หลายชั้น ทั้งที่บางส่วนปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญและขยายความตามด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (แต่งตั้งโดยอำนาจเก่า)
ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่และให้ตัดสิทธิ์การสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี อีกทั้งยังห้ามมิให้เข้าร่วมในการจัดตั้งหรือดำเนินการในพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่เป็นเวลา 10 ปี
เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายปรากฏการณ์ของการยุบพรรคการเมืองให้คนต่างชาติหรือผู้ที่ไม่ได้ติดตามในรายละเอียดได้เข้าใจ ว่าการที่พรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ซึ่งมี สส. 80 คน ที่มีประชาชนเลือกพรรคนี้มากกว่า 6 ล้านคน เมื่อได้กู้เงินจำนวน 191.2 ล้านบาท มาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจึงต้องถูกยุบพรรค
ถ้าจะอธิบายว่าเรามีกฎหมายที่เข้มงวดมาก มีกระบวนการตรวจสอบ มีมาตรฐานสูงมาก เพราะเกรงว่าจะมีนายทุนครอบงำพรรคการเมือง การกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองจึงมีโทษร้ายแรง ถึงขนาดต้องยุบพรรคที่มีประชาชนเลือกมากกว่า 6 ล้านคน คนฟังเขาจะคิดว่าสมเหตุสมผลไหม
หากมีคนตั้งคำถามว่าพรรคการเมืองอื่นๆ จำนวนเกือบ 30 พรรค ที่กู้เงินหรือขอยืมเงินจะมีความผิดด้วยหรือไม่ หรือว่าถึงเวลาก็มีทางออกเพราะสังคมของเราหาทางออกเฉพาะหน้าได้เก่งเสมอ
ครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่า กกต. มีอำนาจตัดสินชี้มูลความผิดโดยอิสระจากอนุกรรมการไต่สวน สอบสวน ไม่ว่าจะมีอนุกรรมการกี่ชุดหรือจะเลือกเชื่อความเห็นของชุดใดก็ได้
ครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยไม่เพียงในสาระที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแต่มีอำนาจวินิจฉัยไปถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญด้วย
น่าทึ่งในเครื่องมือทางกฎหมายของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ที่จะใช้กฎหมายเป็นเกราะป้องกันภัยและขจัดศัตรูได้เป็นครั้งคราว
หากมีคนตั้งคำถามว่าถ้าไม่ให้พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่กู้เงินแล้วจะให้ทำอย่างไร ภายใต้สภาวะที่ คสช. ผู้มีอำนาจเก่ายังไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมทางการเมืองจนเหลือเวลาระดมทุนไม่มาก ขณะที่พรรคการเมืองที่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีอำนาจสามารถจะล่วงรู้และทำกิจกรรมหารายได้ที่ดีกว่า
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อาจจะต้องถูกลงโทษทางอาญาต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้ เพราะ กกต. คงจะดำเนินคดีต่อศาลอาญาตามมาตรา 124 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ในความผิดที่ศาลธรรมนูญได้ชี้ไว้ว่ามีการบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี อีกด้วย
บทเรียนและข้อสังเกต
1. ต่อจากนี้ เวทีการประชุมรัฐสภาจะไม่ถูกท้าทายและมีสาระเข้มข้นเหมือนที่ขณะพรรคอนาคตใหม่ยังอยู่ และการคุกคามอำนาจเก่าก็จะลดน้อยลง
2. การยุบพรรคครั้งนี้ ผู้ที่สนับสนุนชื่นชอบอำนาจเก่า ย่อมจะมีความรู้สึกสะใจ พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่า “ตัดตอนอนาคตใหม่ ตัดไฟต้นลม”
3. กระบวนการกดทับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อว่าเป็นตัวการในการคุกคามอำนาจเก่า สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ได้ในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะเป็นอย่างไร ?
4. คนรุ่นใหม่จะเลิกสนใจสังคมการเมืองไปเลย หรือจะฮึกเหิม แข็งขันมากขึ้น หรือเหตุการณ์นี้จะเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี