สงคราม COVID-19 ครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ส่งผลกระทบถ้วนทั่วกับคนทุกชนชั้น
ไม่ว่าเจ้านายระดับสูง จนถึงคนยากจนแสนเข็ญ แม้เจ้าไวรัสตัวนี้จะมีความดีอยู่บ้างที่ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนทุกชนชั้น แต่ในเวลานี้นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ที่น่าเห็นใจและน่าเป็นห่วงแล้ว กลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงยังมีอีกดังนี้
1. นักโทษในคุก
เป็นกลุ่มคนที่เปราะบางอย่างมาก ในแง่มุมหนึ่งนักโทษเหล่านี้ถูกกักขังตัวอยู่ในเรือนจำ ภายใต้ลูกกรง กำแพงล้อมมิดชิด เป็นการอยู่ห่างสังคมโดยที่ไม่ต้องตั้งใจจะเว้นระยะห่างจากสังคมภายนอก โรคระบาดครั้งนี้ก็มีจุดเริ่มระบาดจากนอกประเทศ ผ่านเข้ามาในประเทศไทยโดยเครื่องบิน
หากไม่มีคนนำพาน้ำมูก น้ำลาย ของคนติดเชื้อเข้าไปในคุก นักโทษในคุกก็ย่อมปลอดภัย แต่หากเชื้อโรคผ่านการนำพาของผู้คุม เจ้าหน้าที่เรือนจำหรือข้าวของเครื่องใช้ที่นำเข้าจากภายนอกโดยไม่ได้ฆ่าเชื้อในเวลาอันสมควร คนคุกก็จะกลายเป็นเหยื่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะความหนาแน่นของจำนวนนักโทษที่มากเกินสถานที่จะรองรับได้ในปัจจุบัน
วันนี้ที่เป็นห่วงก็คือ ผู้คุม เจ้าหน้าที่เรือนจำ จะเป็นผู้นำเชื้อโรคไปแพร่ระบาดในชุมชนคนคุกที่แออัดยัดเยียด รัฐควรจะได้คิดว่าเป็นโอกาสที่จะผ่อนคลาย จัดระยะห่างของคนในคุก โดยนำนักโทษที่สูงอายุ นักโทษที่เหลือเวลากักขังน้อย นักโทษที่มีความผิดไม่ร้ายแรง นักโทษที่ถูกกักขังระหว่างการพิจารณาคดีแล้วไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว หรือนักโทษที่ยอมกักขังแทนค่าปรับซึ่งไม่สามารถจะหาเงินมาจ่ายได้ หากนำนักโทษเหล่านี้มากักบริเวณภายนอกคุก โดยใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถควบคุมติดตามตัวได้ ก็จะทำให้ความแออัดยัดเยียดกันในคุกลดน้อยลง
ในอนาคต ประเทศไทยจำเป็นจะต้องคิดวิธีการลงโทษด้วยการปรับหรือลงโทษด้วยวิธีอื่นแทนการกักขัง ซึ่งสามารถทำได้ในหลายประเภทความผิดที่อาจเหมาะสมกว่าการนำตัวไปกักขัง
2. คนไร้บ้าน
คนไร้บ้านเหล่านี้ได้ยินคำขวัญ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ” แล้วคงไม่รู้จะปฏิบัติตามได้อย่างไร
เมื่อคนอื่นๆเขามีบ้านที่จะหลบภัย แต่คนไร้บ้านไม่มีบ้านจะอยู่ด้วยเหตุจำเป็นหลายประการ
คนเหล่านี้ต้องเลือกนอนใต้ร่มไม้ชายคา ที่มีลมพัดเพื่อไล่ยุง ต้องเลือกที่พักหลับนอนในที่จะพอหาห้องส้วม มีน้ำอาบ
ซักผ้าและอยู่ไกลคนชั้นสูงที่ไม่เข้าใจพวกเขา ว่าทำไมชีวิตเขาจึงต้องทนกับสภาพเช่นนี้
“กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ก็คงทำได้เพียงข้อเดียว คือ มีช้อนตัวเองที่อาจไม่สะอาดนักแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ร่วมกิน
ช้อนกลางสังสรรค์กับคนอื่น ส่วนกินร้อนและล้างมือ (อย่างถูกวิธีด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ) ก็อยากทำแต่ทำไม่ได้
กระทรวงพัฒนาสังคมฯ และองค์กรพัฒนาเอกชน
ห้างร้านและจิตอาสาคงจะช่วยได้บ้างในยามนี้ เพื่อให้คนไร้บ้านเหล่านี้มีที่พักพิงเพื่อป้องกันตนเอง หยุดเชื้อเพื่อชาติ
3. คนเก็บขยะ
เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญที่คนมักจะลืม คือ ลืมที่จะแยกขยะที่อาจติดเชื้อ COVID-19 โดยเฉพาะผู้ที่กักกันตนเองอยู่บ้าน 14 วัน เนื่องจากการสัมผัสกลุ่มเสี่ยงหรือเดินทางมาจากสถานที่เสี่ยง เขาเหล่านี้สร้างขยะทุกวัน โดยอาจจะมีการแยกขยะติดเชื้อบ้าง ไม่ได้แยกขยะบ้าง
“คนเก็บขยะก็คนเหมือนกัน กลัวเหมือนกัน” จึงเป็นเสียงเรียกร้องจากพวกเขา ให้ผู้ทิ้งขยะแยกขยะติดเชื้อ เช่น หน้ากากอนามัย ทิสชู สำลีที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือถุงมือ เป็นต้น จัดใส่ถุงพลาสติกมีสัญลักษณ์ “ขยะติดเชื้อ” เพื่อให้นำไปเผาทำลายจึงเป็นการหยุดแพร่เชื้อเพื่อชาติ
ในความเป็นจริง กรุงเทพมหานครและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น น่าจะถือเป็นโอกาสออกข้อกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อบังคับใช้ในยามนี้ และรณรงค์ให้ทุกบ้านต้องแยกขยะเป็น 4 ประเภท คือ
( 1 ) เศษอาหาร
( 2 ) ขยะขายได้ (พลาสติก กระดาษ ขวด)
( 3 ) ขยะอันตราย (ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ)
( 4 ) ขยะติดเชื้อ
4. คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ในยามนี้ผู้ทำหน้าที่ส่งอาหาร ส่งของ ส่งคนเจ็บป่วยก็คือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ยามที่ร้านอาหารปิดกิจการนั่งกินในร้าน ต้องซื้อกลับบ้านอย่างเดียว ก็ต้องอาศัยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จะไปเอายาจากโรงพยาบาลก็มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และอื่นๆอีกมากที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างทำหน้าที่แทนเรา แทนครอบครัวของเรา ต้องเสี่ยงอุบัติเหตุมีคนเสียชีวิตจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ทุกวัน เฉลี่ยวันละ 20-30 คน และในครั้งนี้ยังต้องเสี่ยงกับโรคร้าย COVID-19 อีกด้วย
คนขี่มอเตอร์ไซค์ต้องออกไปรวมตัวซื้ออาหารร้านเดียวกัน เป็นการชุมนุมอยู่กันเป็นกลุ่มอย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งต้องสัมผัสลูกค้าที่นั่งซ้อนท้ายหายใจรดต้นคอยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งกว่านั้น เขาต้องดั้นด้นเข้าไปในหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ ที่อาจไม่ปลอดภัย
คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเหล่านี้จะมีเวลาล้างมือ อาบน้ำ ก่อนปาดเหงื่อจับใบหน้าของตนเองมากน้อยแค่ไหน ตกเย็น
พลบค่ำก็ต้องเข้าบ้านอยู่กับครอบครัว ซึ่งตนเองอาจจะเป็นพาหะนำโรคร้ายแพร่ระบาดกับคนในครอบครัวก็ได้
เจ้าของและหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ซึ่งส่วนมากก็เป็น ทหาร ตำรวจ หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จะร่วมกันคิดจัดระบบเพื่อความปลอดภัย ปลอดเชื้อ เพื่อชาติ ได้บ้างก็จะดี เพราะตลอดมาก็ได้กินหัวคิว ขายเสื้อกั๊กที่บอกสังกัดในราคาแพงไปแล้ว
บริษัทตัวกลางในการประสานระหว่างคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างกับร้านอาหาร เช่น Grab Food Lineman Get Food เป็นต้น ควรจะได้ร่วมมือวางระบบป้องกันโรค COVID-19 เพื่อไม่ให้ติดต่อคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ทำให้
ผู้บริโภคมั่นใจในการปลอดเชื้อของอาหารและข้าวของที่สั่งอีกด้วยต้องระมัดระวังว่าหากมีคนขี่มอเตอร์ไซค์ติดเชื้อ COVID-19 กิจการนี้จะล่มสลายไปคล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ที่ผู้บริโภคไม่มั่นใจและเกรงกลัวที่จะใช้บริการ
5. คนสลัม ชุมชนแออัด
บ้านหลังน้อยอยู่ชิดติดกัน ทางเดินแคบๆ น้ำทิ้งส่งกลิ่นคละคลุ้ง ผู้คนเข้า-ออกพื้นที่แออัด แม้ต่างคนต่างอยู่แต่ก็ดูเสมือนชุมนุมกันโดยปริยายทุกวัน
ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างที่โฆษก ศบค.(ศูนย์บริหารโควิด-19 ขอเรียกง่ายๆ) พล่ามบอกว่าคนในครอบครัวหากเกิน 2 คน แต่ละคนต้องเว้นระยะห่าง 2 เมตร ดูจะทำตามได้ยาก
แต่ละวัน ชาวสลัมต้องออกมาทำงานรับจ้าง ได้รายได้เป็นรายวัน ยามนี้ที่กิจการร้านค้า โรงงาน สถานบริการปิดหมด เขาจะต้องเร่ร่อนไปหางานที่ไกลขึ้น อาจต้องกลับถิ่นฐานต่างจังหวัดซึ่งเขาอาจจะเป็นพาหะนำเชื้อไประบาดที่บ้านเดิมต่างจังหวัด
การรวมตัวของคนสลัมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยการสนับสนุนขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และเจ้าหน้าที่
ของรัฐ ซึ่งสามารถให้ความรู้และสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันโรคคงจะช่วยได้มาก
6. ผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่
เชื้อโรค COVID-19 ดูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงกับผู้สูงอายุ เพราะอัตราการตายของผู้สูงอายุที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้จะสูงมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนอายุต่างๆ พบว่าเกือบ 20% ของผู้สูงอายุที่ติดเชื้อจะเสียชีวิต
ผู้สูงอายุแม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิต แต่สังขารก็เสื่อมถอยเป็นธรรมดาย่อมมีโรคประจำตัวแทรกซ้อนอยู่ในร่างกาย ภูมิต้านทานก็ลดน้อยถอยลง หลายคนเดินเหินยากลำบาก ต้องอยู่ติดบ้าน ติดเตียง
แต่ผู้สูงอายุเหล่านี้ ก็ต้องกินอาหาร ต้องกินยา ต้องมีข้าวของเครื่องใช้ จึงต้องอาศัยลูกหลานคนในครอบครัวออกไปจับจ่ายใช้สอยนำกลับมาให้ ความสำคัญอยู่ที่คนหนุ่มสาวลูก-หลาน ที่ออกไปนอกบ้านและเมื่อจะเข้าไปบ้านผู้สูงอายุจำเป็นต้องล้างมือ อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าและควรเว้นระยะห่างจากตัวผู้สูงอายุอย่างน้อย 2 เมตร
ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยอยู่ตัวคนเดียวหรืออยู่ตามลำพัง 2 คน ตา-ยาย ไม่มีคนดูแล ซื้อข้าวปลาอาหารของใช้ให้ในยามนี้ ก็จะเกิดความยากลำบากหากออกนอกบ้านไปจัดหาด้วยตัวเองก็อาจติดเชื้อ COVID-19 ได้
องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ทุกตำบลควรร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (สถานีอนามัยเดิม) อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ร่วมกับวัด-พระสงฆ์ น่าจะได้มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยวางระบบเกื้อหนุนเสียในเวลานี้
เพราะขณะนี้ผู้สูงอายุของไทยมีประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศหรือประมาณ 13 ล้านคน อีก 10 กว่าปี
ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ หรือประมาณ 20 ล้านคน องค์กรที่สำคัญในท้องถิ่นจะต้องผนึกกำลังวางระบบรองรับ
ควรถือโอกาสที่มีโรคระบาด COVID-19 รัฐบาลส่วนกลางควรรีบกระจายอำนาจให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นได้วางระบบและบริหารจัดการเสียในโอกาสนี้ เพราะการบริหารส่วนกลางโดยกระทรวงและกรมต่างๆ ควรจะเป็นผู้ให้คำปรึกษากับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงาน
หากท้องถิ่นจะได้นำคนในชุมชนอายุ 40 ถึง 60 ปี ซึ่งจะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต (ในเวลาที่มีผู้สูงอายุมากเกิน 30% ของคนทั้งประเทศ) มาร่วมวางระบบดูแลผู้สูงอายุก็จะเป็นการเรียนรู้และเตรียมตัวที่จะเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ
7. พระและสัปเหร่อ
ดูจะเป็นกลุ่มคนที่จะมีปัญหาติดเชื้อ COVID-19 น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มต่างๆข้างต้น
โรคนี้ไม่ทำให้คนตายกะทันหัน แต่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเป็นส่วนมาก แพทย์และเจ้าหน้าที่จะจัดการศพอย่างถูกต้อง ไม่ให้แพร่เชื้อใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ และใส่ถุงพลาสติก 2 ชั้น แล้วยังใส่ในโรงศพปิดแน่นอีกด้วย
เชื้อ COVID-19 เป็นไวรัส ซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดินก็ไม่ได้บินก็ไม่ได้ มีพาหะคือละอองน้ำลายน้ำมูกของคนที่ติดเชื้อ เข้าทางจมูกปากและตาเท่านั้น
ร่างกายของคนตายหรือศพ จึงน่ากลัวน้อยกว่าคนเป็นที่มาวัด ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ใดบ้างที่ติดเชื้อและยังไม่แสดงอาการ หากสัปเหร่อและพระร่วมกับชุมชนจะได้จัดวางระบบการเผาศพ ให้ทำพิธีแต่เท่าที่จำเป็น แล้วเผาศพในวิธีแบบปิดที่ทำ
อยู่ในปัจจุบัน ก็ถูกต้อง เหมาะสม มิดชิดดีอยู่แล้ว
เราจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป
COVID-19 เกิดขึ้นสะท้อนความอวดดีของมนุษย์ ที่คิดว่าสามารถฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ พยายามอยู่เหนือธรรมชาติ ทำลายความสมดุลของธรรมชาติ จึงเกิดโรคร้ายอุบัติถี่ขึ้นและร้ายแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
มนุษย์ต้องหันมาปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและรับผลจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือเอาชนะได้
ครั้งนี้ ภายหลังโรคร้ายสงบลง “เราคงไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป”
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี